– คำแนะนำของผมเกี่ยวกับการเทรดหุ้น โดย Humble Trader Diary –
มีคนถามผมว่า ถ้าอยากจะแนะนำอะไรกับมือใหม่ที่เริ่มเข้ามาเทรด ผมอยากจะแนะนำเรื่องอะไร
ผมก็เลยลองมานั่งคิดว่า ถ้าย้อนไปได้อยากจะบอกตัวเองตอนเริ่มๆ เรื่องอะไรเพื่อไม่ต้องเสียเวลามานั่งงมมากเกินไป พอคิดไปคิดมา ผมว่าผมน่าจะคุยในเรื่องของมุมมองและวิธีคิดที่มีต่อการเทรดครับ
ในช่วง 1-2 ปีแรกผมเคยเจ็บปวดกับการเทรดอยู่บ่อยๆ ถ้าเจ็บปวดจากแค่ขาดทุนมันก็ดูจะเป็นเรื่องปกติ ใครๆ ก็เป็น แต่ผมดันเจ็บปวดจากการได้กำไรด้วย อย่างเวลาขายทำกำไรเสร็จแล้วมันไปต่อในเวลาไม่นาน หรือสะใจมากๆ ในเวลาที่ขายแล้วหุ้นตัวนั้นราคามันลงไปเลย ผมดีใจเวลาที่ตลาดมันเข้าทาง และเฉาจนเสียหลักเวลาที่ตลาดไม่เป็นใจ ทำไมเราเทรดไม่ดีเลย อารมณ์ผมถูกมาพาไปในทิศทางของผลลัพธ์ที่มันเกิดขึ้น ภาพมันฉายซ้ำๆ กันทุกการตัดสินใจที่ผ่านไปกลายเป็นวังวนที่ดูไม่มีที่สุด แล้วตัวผมเองก็มานั่งคิดว่า นี่เราจะทนอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ไปได้อีกนานมั้ย ปีๆ นึงเทรดเป็นร้อย โหยหากำไรแต่พอขาดทุนอารมณ์เหวี่ยงเป็นไบโพลาร์ เราจะยืนระยะไปได้ยังไงเป็นสิบปีวะ ผลงานก็ขึ้นๆ ลงๆ
พอไปคุยกับพี่ๆ ที่เขาเทรดกันมานานก็บอกว่า “อยู่ไปเดี๋ยวก็ชิน ถ้าอยู่ถึงนะ” ซึ่งก็อาจจะจริง เรื่องพวกนี้อาจจะต้องใช้เวลา แต่กลัวอยู่ไม่ถึงนี่ดิ ถ้าเป็นแบบนี้อาจจะไม่ได้หมดตัว แต่หมดใจ ยอมแพ้ไปก่อนก็ได้ พอเป็นแบบนี้ไม่รู้ทำยังไงครับ ลองบ้าอ่านหนังสือดู จนผมได้อ่านบทสัมภาษณ์ของคุณ Larry Hite ในหนังสือชื่อดังอย่าง Market wizard เขาบอกว่า
“In fact, we have a written agreement that none of us can ever countermand our system. The trades are all the same. That is the reason why we have never had a bad trade at Mint. There are really four kinds of trades or bets: good bets, bad bets, winning bets, and losing bets. Most people think that a losing trade was a bad bet. That is absolutely wrong. You can lose money even on a good bet. If the odds on a bet are 50/50 and the payoff is $2 versus a $1 risk, that is a good bet even if you lose..”
ด้วยรอยหยักในสมองอันน้อยนิดของผม อ่านตอนแรกแม่งไม่เข้าใจครับ ขาดทุนแม่งจะดีได้ยังไงวะ แต่ถ้าคนเก่งระดับคุณ Hite บอกแบบนี้แสดงว่ามันต้องมีอะไรครับ แต่ตอนเด็กๆ มันก็ไม่ได้อินมากขนาดนั้นก็อ่านๆ ไป แต่พอศึกษามาเรื่อยๆ เริ่มเจออะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ครับเช่น
“You should keep the good trades while weeding out the bad ones. Whether you stick to your trading method or revamp it depends on how you evaluate your trades. But most traders are evaluating their trades wrongly. They don’t know what’s a good trade. You cannot determine that a trade is good just by looking at its net profit. In the same vein, a bad trade isn’t just a losing trade — there’s more to it. A good trade must be based on a trading approach that produces positive expectancy. You must have good reasons for taking a trade. If not, regardless of its outcome, it is not a good trade. In essence, good trades are based on a trading edge. Good trades can be replicated. You must be able to replicate a good trade. Well, I do not mean a full replication. That requires a time machine. What I mean is that you must know what you are doing. You must be in control when you trade. The reason is simple: You must know what you are doing, so that you can do it again the next time. It is a good trade. Because you can take another trade like that when you are faced with similar price action. You can do it again and again. Over time, if the approach has positive expectancy, you will have profits to show for it. But, if you do not know why you took a trade, regardless of its outcome (profit or loss), it does not matter. Because you cannot take a similar trade again. Whether the trade is profitable or not, it is a one-off event. That’s gambling. This is why you should follow your trading plan and avoid impulsive trades. When you deviate from your trading plan, you are gambling.” Galen Woods
“Profitable traders just always try to do the right thing – and not to make money. They are looking for the best risk/reward situations and use them. Their focus is to make a good trade after another. Sometimes the results do not reflect the back. Traders can lose temporarily, although they have done everything right. This can not be avoided. In the long term, it pays off to always do the right thing strategically and implement it on the basis of a clear process every day. A long line of “Good Trades” will almost certainly lead to gains.” Mike Bellafiore
“It never bothered me to lose, because I always knew that I would make it right back. I have a methodology that I know is going to win in the long run. Along the way there are going to be some losses. If I lose now, I will win subsequently. As long as I stick with my methodology and keep doing what I am doing, I am going to come out ahead.” Linda Raschke
ใช่เลยครับ พอศึกษาไปเรื่อยๆ พวกโปรเขาไม่ได้ตัดสินว่าเทรดดีหรือไม่ดีจากผลลัพธ์การเทรดแต่ละครั้งครับ พวกโปรเขาสนตรงที่ว่า เขาได้สร้างกลยุทธ์ที่มีความได้เปรียบและยั่งยืนให้กับเขามากแค่ไหน และสามารถปฏิบัติตามกลยุทธ์นั้นได้อย่างมีวินัยรึเปล่า ถ้าเทรดได้ตามแผนแสดงว่าเราเทรดได้ดีครับ แต่ถ้าเทรดแหกแผนถึงแม้จะได้กำไรพวกโปรจะเรียกว่าเป็นการเทรดที่ไม่ดีหรือ “มึงฟลุค” ครับ
พวกเขามองกลยุทธ์เป็นเครื่องจักรผลิตเงิน หน้าที่เขาคือใส่วัตถุดิบที่ถูกต้องลงไปในเครื่องจักรผลิตเงิน นั่นคือการทำตามแผนอย่างมีวินัย สุดท้ายถ้าเราใส่วัตถุดิบที่ถูกต้องลงในเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วเราจะได้เงินแน่นอน ซึ่งจะพบว่าพวกระดับมืออาชีพเขามีมุมมองเรื่องการเทรดต่างจากผมมากเลยครับ อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกครับ ตัวผมไปโฟกัสและยึดติดกับผลลัพธ์ในแต่ละการเทรด กำไรคือดี ขาดทุนคือแย่ ผมไม่สนหรอกครับจะทำแบบไหนอ่ะ ได้กำไรเป็นพอ มีกำไรแล้วขายตรงไหนก็ได้เอาที่สบายใจ ผมไม่ได้สนภาพรวมของกลยุทธ์เลย ผมสนแต่ตัวหุ้นแต่ละตัวว่ามันมีรูปแบบไหนให้เทรดบ้าง เบรคแนวราบ เบรคแนวเฉียง ซื้อตอน MACD เหนือ 0 รับแนวรับ รับตอนรีเทส ซื้อหุ้นตอนตลาด panic เกิดรูปแบบไหนก่อนก็เทรดแม่งอันนั้นแหละ นี่ยังไม่รวมเรื่องของการขายหลากหลายรูปแบบที่พยายามจะทำยังไงก็ที่จะทำกำไรให้ได้สูงสุดและขาดทุนน้อยที่สุด จนเราลืมไปว่าเราแม่งไม่มีทางควบคุมผลลัพธ์ที่ออกมาได้ทุกครั้งหรอก แต่เราดันไปมีอารมณ์สุขและเศร้ากับผลลัพธ์ซะอย่างงั้น ซึ่งจริงๆ นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมพวกมือโปรเขาไม่ได้เอาเรื่องผลลัพธ์ในแต่ละครั้งมาตัดสินว่าเทรดดีหรือไม่ดีครับ เพราะว่า เราไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากหนังสือซีรีส์เดิมอย่าง Market Wizard ครับ คุณ Steve Cohen เคยสัมภาษณ์ไว้ว่า
“I compile statistics on my traders. My best trader makes money only 63 percent of the time. Most traders make money only in the 50 to 55 percent range. That means you’re going to be wrong a lot. If that’s the case, you better be sure your losses are as small as they can be, and that your winners are bigger.”
เขาบอกว่าทีมงานที่เก่งที่สุดของเขาก็ชนะแค่ 63% และส่วนใหญ่ก็คือประมาณครึ่งเดียว นี่คือระดับสุดยอดของโลกนะครับ เก่งแบบนี้ยังไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์ให้มันถูกได้ทุกครั้งเลย (แล้วเราเป็นคนธรรมดาจะเหลือเหรอครับ) พอควบคุมผลลัพธ์ไม่ได้ คนพวกนี้เขาจึงไปโฟกัสในสิ่งที่เขาควบคุมได้โดยสมบูรณ์แทนนั่นคือเรื่องของการสร้างแผนที่ดี (ที่ทดสอบแล้วว่าสามารถทำเงินได้) และการทำตามวินัยซึ่งเราพอจะมีสิทธิที่จะควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์
นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะแนะนำให้กับมือใหม่ลองพิจารณาดูครับ
ผมแนะนำให้คุณ ลองเปลี่ยนมุมมองหรือความเชื่อเกี่ยวกับการเทรดครับ
เทรดที่ดี ไม่ใช่การเทรดที่กำไร และเทรดที่แย่ก็ไม่ใช่เทรดที่ขาดทุนเสมอไป
เทรดที่ดี คือ เทรดที่ปฎิบัติตามแผนที่มีความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วในระยะยาวถ้าเราเทรดได้ดีโฟกัสที่กระบวนการเทรด ผลลัพธ์จะดูแลตัวมันเอง โฟกัสในสิ่งที่คุณควบคุมได้ก็พอ อะไรที่มันควบคุมไม่ได้พยายามลดโฟกัสลงไป แล้วความสุขจะเริ่มตามมา อารมณ์จะไม่แกว่งเป็นเจ้าเข้าแบบที่ผมเป็นในตอนแรก
แต่แน่นอนครับ ไม่ใช่เราอยากเปลี่ยนแล้วเราจะเปลี่ยนได้เลย มันอาจจะต้องใช้เวลาซักระยะใหญ่เลยแล้วอาจจะต้องมีทริคในการช่วยเปลี่ยนครับ วันนี้ก็เลยอยากจะแนะนำทริคที่ผมใช้ในการเปลี่ยนความเชื่อเรื่องการเทรดครับ
เรามาเริ่มตั้งแต่รากของความเชื่อกันอีกรอบนะครับ
คนส่วนใหญ่ในตลาดมักจะบอกว่า เทรดที่เขาขาดทุนมันคือ การเทรดที่แย่ และการเทรดที่เขากำไรมันคือ การเทรดที่ดี เหตุผลที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับผลลัพธ์ในทุกๆ การเทรดเพราะพวกเขาต้องการความพึงพอใจทันที (instant gratification) แต่การที่เลือกแต่การตอบสนองต่อความพึงพอใจในระยะสั้นอาจจะต้องแลกกับการประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ ตลาดทุนไม่ได้ตอบสนองต่อความพึงพอใจของคุณในทุกๆ ครั้ง ดังนั้นคุณจำเป็นจะต้องเตรียมตัวรับมือกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น ในความเป็นจริงการเทรดที่เราขาดทุนสามารถเป็นการเทรดที่ดีได้ และแน่นอนการเทรดที่กำไรก็อาจจะเป็นการเทรดที่แย่มากๆ ได้เช่นกัน ผมขอยกตัวอย่างในชีวิตให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นนะครับ
ผมขอพูดถึงการข้ามถนนสองแบบนะครับ แบบแรกคือ การข้ามถนนทางม้าลายอย่างถูกวิธี กับ แบบที่สองคือการข้ามถนนใหญ่แบบเล่นโทรศัพท์และใส่หูฟังไปด้วย ทั้งสองแบบนี้ผมคิดว่าเราคงเข้าใจด้วยหลักการอยู่แล้วว่าการข้ามถนนทางม้าลายนั้นถูกต้อง และอีกแบบนั้นเป็นวิธีการที่ผิด โดยที่ถ้ามาลองคิดดู ถ้าลูกเราข้ามถนนแบบเล่นโทรศัพท์ เราคงด่าลูกเละแล้วไม่อยากให้ลูกเราทำอีก
แต่ถ้าเราบอกว่าคนที่ข้ามทางม้าลายถูกรถชน แต่คนเล่นโทรศัพท์และใส่หูฟังข้ามถนนอย่างปลอดภัย เราจะบอกได้มั้ยครับว่า คนที่ข้ามถนนทางม้าลายทำสิ่งที่ผิด และคนเล่นโทรศัพท์และใส่หูฟังข้ามถนนทำถูกต้องแล้ว … แน่นอนครับว่าบอกไม่ได้ ถึงแม้ว่าคนข้ามถนนทางม้าลายจะโดนรถชน แต่การข้ามครั้งหน้าหรือครั้งต่อๆ ไปอีกเป็นร้อยๆ ครั้ง เราก็ต้องข้ามทางม้าลายอยู่ดีเพราะมันเป็นวิธีที่ทำให้เราข้ามถนนได้ปลอดภัยที่สุด ไอ้ที่โดนชนมันเป็นเหตุกาลที่เรา “ซวย” และไอ้ที่ข้ามถนนเล่นโทรศัพท์แล้วรอดการรถชนได้คือ “โชคดี” การยกตัวอย่างแบบนี้คือการที่เราเน้นไปที่ “เหตุ” ก่อนแล้วค่อยพูดถึง “ผล” แล้วเรามามองกันอีกมุมหนึ่งครับ
แต่ถ้าเรามาพูดถึง “ผล” ก่อน “เหตุ” เราเห็นคนบาดเจ็บมาที่โรงพยาบาลซึ่งเกิดจากการประสบอุบัติเหตุในการข้ามถนน เราอาจจะคิดในใจโดยอัตโนมัติเลยว่า ไอ้คนนี้ข้ามไม่ดูตาม้าตาเรือ ซึ่งในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ บางทีรถมันแหกกฎมาชนคนบนทางม้าลายเราก็เห็นกันในข่าวหลายครั้ง หรืออย่างผมเองตอนสมัยมัธยม บางทีก็ข้ามถนนตรงๆ เพื่อไปโรงเรียนโดยที่ไม่ข้ามสะพานลอยเพราะมันเร็ว ผมรอดมาได้ก็ใช่ว่าผมจะทำถูก
ผลที่เกิด ไม่ได้บอกว่า เหตุที่คุณทำนั้นถูกต้องเสมอไป
กำไรหรือขาดทุนที่เกิด ก็ไม่ได้บอกว่า วิธีการที่คุณทำนั้นถูกต้อง
ฉะนั้นเราบอกไม่ได้ครับว่ากำไร (ที่เกิดขึ้นชั่วคราวไม่กี่ครั้ง) จะมาจากเหตุที่ดีหรือการเทรดที่ดีครับ
การเทรดที่ดีเราต้องมาเริ่มจากเหตุก่อน หรือพูดง่ายๆ คือ เราต้องหาทางม้าลายในตลาดหุ้นครับ ซึ่งทางม้าลายในตลาดหุ้น คือกลยุทธ์ที่พิสูจน์มาแล้วว่ามีความได้เปรียบทางสถิติ และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เราเห็นทางม้าลายแล้วก็ใช่ว่าจะอยากข้ามก็ข้ามเลยตามใจเรา หลายๆ ครั้งก็ต้องดูจังหวะเวลาเหมือนกัน ซึ่งในตลาดหุ้นมันคือ เรื่องของการปฎิตามกลยุทธ์อย่างมีวินัย สรุปแล้ว
การเทรดที่ดี = เทรดที่ปฎิบัติตามแผนที่มีความได้เปรียบทางสถิติอย่างสมบูรณ์แบบ
เรามาขยายความในเรื่องของความได้เปรียบทางสถิติกันหน่อย
สิ่งหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบหลักสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในตลาดอย่างยั่งยืน คือการมีความได้เปรียบทางสถิติ แปลไทยเป็นไทยคือ คุณจะต้องสร้างหรือพัฒนาอย่างน้อยหนึ่งกลยุทธ์ หรือหนึ่งรูปแบบการทำเงินที่เมื่อใช้ไปเป็นระยะเวลานานแล้วมันทำเงินให้กับคุณเรื่อยๆ การทำเงินให้คุณเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าการเทรดของคุณจะต้องกำไรทุกครั้ง ซึ่งมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในระยะยาว การประสบความสำเร็จระยะยาวมันคือ การที่คุณมีความได้เปรียบทางคณิตศาสตร์มีถูกบ้างผิดบ้างแต่สุดท้ายผลรวมของมันเป็นกำไรเมื่อผ่านการเทรดไปหลายร้อยหลายพันครั้ง ซึ่งถ้าเอาเป็นศัพท์ทางการทำระบบ เขาจะเรียกสิ่งนี้ว่าระบบนี้มี “positive expectancy” ซึ่งเรื่องของ expectancy คือคุณต้องเข้าใจอยู่ 4 ตัวแปร คือ
1. win rate (%)
2. average gain (จำนวนเงิน, %)
3. loss rate (%)
4. average loss (จำนวนเงิน, %)
ประกอบเป็นสมการ Expectancy = (Win rate x Average gain) – (Loss rate x Average loss)
เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะสนใจแค่ตัวแปรเดียวหรือสองตัวแปร โดยเฉพาะในเรื่องของ win rate เพราะคนส่วนใหญ่อยากจะชนะบ่อยๆ แต่ในโลกของการเทรด ระบบที่ชนะบ่อยๆ ก็ไม่ได้การันตีว่าคุณจะประสบความสำเร็จระยะยาว หรืออาจจะเป็นระบบที่มี expectancy เป็นลบก็ได้ (negative expectancy) ถ้าหากคุณขาดทุนโดยเฉลี่ยมากเกินไปหรือคุณได้กำไรเฉลี่ยต่อครั้งน้อยเกินไป ฉะนั้นหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของเทรดเดอร์ที่อยากจะประสบความสำเร็จในตลาด คือ การออกแบบระบบหรือการเล่นเซตอัพต่างๆ จำเป็นจะต้องใส่ใจทั้ง 4 ตัวแปรเพื่อให้ได้ระบบที่มี positive expectancy ในระยะยาว
ตัวอย่างที่ยกมาทำให้เห็นภาพได้ง่ายที่สุดคือ เรื่องของการโยนเหรียญหัว-ก้อย ซึ่งหัวก้อยนั้น มีความน่าจะเป็นในแต่ละการออกแต่ละด้านอยู่ที่ 50% ถ้าหากมีเกมมาให้คุณเล่นแล้วเหรียญออกหน้าหัว เราจะได้เงิน 100 บาท แต่ถ้าออกหน้าก้อยเราจะเสียเงิน 50 บาท จะเห็นได้ว่าเกมนี้เราได้เปรียบเห็นๆ แต่ถ้าบอกว่าเรามีสิทธิเสียเงินในแต่ละรอบมั้ย คำตอบคือมีครับ คุณอาจจะเสียเงินตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณโยนเหรียญเลยก็ได้ และคุณอาจจะเสียติดๆ กันหลายครั้งด้วย แต่สุดท้ายแล้วถ้าคุณได้เล่นเกมนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในระยะยาว ด้วยระบบของคุณที่มีความได้เปรียบแบบนี้ คุณจะได้เงินในที่สุด
ถ้ามีรูปแบบเกมแบบนี้ให้คุณเล่น คุณต้องเล่นมันเพราะคุณได้เปรียบ ไม่ว่าระหว่างที่เล่นคุณจะเสียเงินในหลายๆ ครั้งก็ตาม แต่สุดท้ายระบบที่ได้เปรียบจะทำงานและทำให้คุณกำไรในที่สุด
พอพูดเรื่องของความได้เปรียบทางสถิติเสร็จ ต่อไปเรามาพูดถึงการปฎิบัติตามแผนที่มีความได้เปรียบ
ความจริงคอนเซ็ปของการชนะในตลาดค่อนข้างจะไม่ได้มีอะไรซับซ้อน คือ หารูปแบบที่มีความได้เปรียบทางสถิติแล้วปฏิบัติมันอย่างสม่ำเสมอและมีวินัย แค่นั้น แต่ที่มันดูยากหรือซับซ้อนสำหรับคนส่วนใหญ่สาเหตุมาจากเรื่องทางจิตวิทยาหรือ mindset อย่างเช่น การรับมือกับความไม่แน่นอนหรือปรับสภาพจิตใจเวลาที่เราขาดทุนอย่างถูกวิธี ปัญหาที่ใหญ่มากคือ มายเซ็ตที่ฝังรากลึกติดตัวเรามาอาจจะไม่ดีนักในตอนที่เราใช้กับการเทรด ยิ่งเวลามีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกเราล้วนแต่มีอคติทางอารมณ์และกลไกในการป้องกันตัวเองโดยไม่รู้ตัวซึ่งทำให้เราตัดสินใจอย่างไม่มีเหตุผล หลายครั้งที่เรื่องของเงินทำให้เราไม่ทำตามแผนหรือระบบที่วางไว้อย่างดี หลายครั้งที่วางแผนไว้ แต่พอถึงจุดตัดขาดทุนเราก็ไม่ทำตาม หรือพอเราได้กำไรก็รีบขายก่อนจะถึงจุดขายตามที่วางแผนเอาไว้
สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำให้คุณสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้คุณสามารถทำตามแผนได้ดียิ่งขึ้นคือ
1. ความมั่นใจ
ผมคิดว่าที่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมทำตามแผนเพราะมันเกิดจากความไม่มั่นใจและความกลัวครับ คุณไม่มั่นใจในกลยุทธ์ของตัวเองหรือแม้กระทั่งไม่มั่นใจในตัวคุณด้วยซ้ำ ที่่คุณไม่ตัดขาดทุนตามแผน มันอาจเพราะคุณไม่มั่นใจว่าการตัดขาดทุนตรงจุดนี้มันดีกว่าการไม่ตัดขาดทุนตรงไหน ทำไรเราไม่รอขายตามกฎการเทรด เพราะเราไม่มั่นใจว่าขายตามกฎมันดีกว่าขายมันออกไปตอนนี้เลยยังไง ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ สร้างความมั่นใจขึ้นมาก่อน ซึ่งความมั่นใจสร้างง่ายสุดด้วย การเตรียมตัวและการทำงานหนัก อย่างการเตรียมกลยุทธ์การเทรด เราต้องทำงานหนักและค้นคว้าเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่เราใช้อยู่ว่ามันใช้แล้วจะทำให้เราชนะตลาดในระยะยาวจริงๆ นั่นก็ย้อนกลับไปที่สิ่งแรกคือ คุณรู้รึยังว่ากลยุทธ์ของคุณมีความได้เปรียบทางสถิติจริงๆ รู้มั้ยว่าสภาวะตลาดแบบไหนมันดี/มันแย่ มันมีจุดดี-จุดอ่อนตรงไหน ถ้าหากทุกวันนี้คุณยังตามหาหุ้นเล่นจากห้อง line หรือเพจ facebook คุณไม่มีทางมั่นใจในหุ้นที่คุณเทรดเลยครับ และแน่นอนถ้าคุณยังหาหุ้นจากคนอื่น มันก็แสดงให้เห็นเช่นกันว่าคุณเชื่อมั่นในตัวคนอื่นมากกว่าเชื่อในความสามารถของตนเอง ฉะนั้นต้องเตรียมตัวและทำงานให้หนักเข้าไว้ อย่างที่ Michael Jordan เคยบอกไว้ครับ
“I never feared about my skills because I put in the work. Work ethic eliminates fear. So if you put forth the work, what are you fearing? You know what you’re capable of doing and what you’re not.”
2. การมีสติและการแบกรับความกดดัน
หลายๆ อย่างที่เราไม่ทำตามแผนเพราะเราขาดสติครับ ซึ่งไม่แปลกเลยสำหรับการขาดสติในการเทรด เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องของเงินๆ ทองๆ การเดิมพันมันสูง เรื่องพวกนี้ไม่ได้เป็นแค่ในอาชีพนี้นะครับ เราเห็นบ่อยมากโดยเฉพาะพวกนักกีฬา นักกีฬาบางคนตอนซ้อมหรือตอนการแข่งที่ไม่ค่อยสำคัญนี่เก่งมาก แต่พอไปเล่นในนัดสำคัญกลับทำผลงานได้ไม่ดีเพราะแบกรับความกดดันไม่ไหว สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำเพื่อให้คุณมีสติและแบกรับความกดดันได้ดียิ่งขึ้นมีดังนี้ครับ
2.1 การมี Checklist ในการเทรด
การมี Checklist เพื่อลดสิ่งที่คุณจะต้องโฟกัสให้เหลือแต่สิ่งที่คุณจำเป็นจะต้องโฟกัสเท่านั้น อย่างเรื่องของ setup ว่าคุณต้องดูอะไรบ้าง ระดับราคาตรงจุดไหนถึงจะเข้าไปซื้อหรือขาย ต้องดู indicator ตัวไหนบ้าง เช่น volume หรือ indicator จะเอาหุ้นที่ indicator ตัวนี้ตัดขึ้นเท่านั้นนะ ตัวอื่นไม่เอา หรืออาจจะต้องมี checklist สำหรับในแต่ละช่วงเวลาว่าต้องดูอะไร เช่น ช่วงเช้าก่อนตลาด ดูราคา pre-market ดู s50 ดูราคาน้ำมันและค่าเงิน เปิดช่วงบ่ายอาจจะต้องดูตลาดยุโรปประกอบกับ Future US500 รวมถึงอาจจะต้องตัดจำนวนหุ้นที่คุณต้องดูในแต่ละวันให้เหลือน้อยลง เช่นโฟกัสเฉพาะ 30-40 ตัวนี้พอแล้วไม่งั้นดูไม่ไหวต้องใช้พลังงานเยอะ ถ้าใช้ checklist ช่วยจะทำให้คุณขจัด noise ที่ไม่จำเป็นออกไปได้เยอะครับ
2.2 การทำสมาธิ
“Meditation has been the secret to my success”
คำพูดนี้เป็นคำพูดของคุณ Ray Dalio หนึ่งใน hedge fund manager ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของโลกครับ การทำสมาธิถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในการกระทำที่ช่วยฝึกสติได้มีประสิทธิภาพสูงสุดวิธีหนึ่งครับ ทุกวันนี้ผมก็พยายามฝึกอยู่เช่นกันครับ ซึ่งเราอาจจะทำสมาธิก่อนที่เราจะเริ่มการเทรดในทุกๆ วัน 3-10 นาทีก็ได้ครับ หรืออาจจะทำพวกการเตรียมต่างๆ ก่อนเริ่มเทรด เหมือนที่พวกนักกีฬาเขาทำตอนวอร์มอัพก่อนแข่ง เช่น การฟังเพลง หรือการยืดเส้นยืดสายครับ อยากให้ลองหาวิธีการเตรียมตัวที่ชอบก่อนเทรดกันดูนะครับ มันช่วยได้มากจริงๆ เหมือนเป็นการเตือนร่างกายว่านี่เรากำลังจะเข้าไปเทรดแล้วนะพร้อมรึยัง ลองไปหากันดูนะครับ
2.3 การทำให้ร่างกายพร้อม
บางทีเวลาที่คุณไม่ค่อยมีสติหรือกดดัน มันอาจจะเกิดจากร่างกายของคุณนั้นไม่พร้อมที่จะเทรดครับ ฉะนั้นสิ่งที่เราต้องเตรียมตัวเกี่ยวกับเรื่องร่างกายจะมีอยู่ 3 เรื่องหลักๆ ด้วยการ คือ การนอน การกินและการออกกำลังกาย เราจะต้องนอนให้พอ กินให้ครบ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ถ้าทำได้ดีทั้งสามด้านมันจะไม่เพียงส่งผลดีต่อการเทรดเท่านั้น แต่จะส่งผลดีต่อทุกๆ เรื่องในชีวิตนะครับ
2.4 การใช้ position size ที่เหมาะสม
อันนี้ปัญหายอดฮิตครับ คุณไม่มีวินัยทำตามแผนและขาดสติ เพราะหลายๆ ครั้งคุณใช้ขนาดการเทรดที่ไม่เหมาะสมครับ บางคนชอบเล่น all-in หรือเล่นขนาดแบบ 40-50% ต่อรอบรวมถึงอาจจะเล่น leverage ซ้ำเข้าไปอีกทำให้พอหุ้นมันขึ้นลงนิดหน่อยก็เริ่มขาดสติ จริงๆ เรื่องของขนาดการเทรดมันคล้ายๆ กับน้ำหนักสิ่งของเวลาเราแบกขึ้นหลังขณะเดินขึ้นภูเขาอ่ะครับ ตอนที่สถานการณ์มันง่ายๆ ไม่ลาดชันคุณก็จะแบกไหว แต่พอเริ่มเจอเส้นทางขรุขระลาดชัน ของที่คุณแบกก็จะเริ่มแบกยากและหล่นง่ายมาก ฉะนั้นเราต้องรู้ขนาดที่พอเหมาะที่่เราจะแบกไปในระหว่างการเดินทางครับ และแน่นอนแบกเบาไปก็ไม่ควรครับ หลายๆ ครั้งที่ position size ที่ต่ำเกินไป หรือ undertrading ก็ทำให้คุณหลุดวินัยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ปกติคุณ cut loss 5% โดนทีละแสน แต่พอคุณลดขนาดการเทรดลงมา 10 เท่า แล้วพอหุ้นมันลงมาถึงจุด cut loss 5% คุณมองว่า “แหม่ หมื่นเดียวเอง ปกติเสียตั้งแสนนึง ทนต่อละกันวะ” สรุปคุณก็ถ่าง stop ทำให้ระบบที่วางมา หรือ average loss เพี้ยนไปจากปกติอีก ฉะนั้นก็ต้องเป็น position size ที่ไม่มากไปไม่น้อยไปครับ
2.5 คาดการเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งหมด
แน่นอนครับว่าไม่มีใครรู้อนาคตข้างหน้า พรุ่งนี้หุ้นตัวนี้จะขึ้นจะลง เราไม่รู้แบบชัวๆ หรอกครับ ถ้าเรารู้ชัวๆ เราขายบ้านขายรถมาอัด all-in ไปแล้วครับ ฉะนั้นเราไม่มีทางรู้อนาคต แต่ถึงแม้เราจะไม่รู้อนาคต ในตลาดหุ้นเราก็พอจะรู้ว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่มันอาจจะเกิดขึ้นมันมีอะไรบ้าง เช่น หุ้นขึ้น หุ้นขึ้นไปไกล หุ้นลง หุ้นลงหนัก หุ้นกระโดด gap หุ้นฟลอร์ ตลาดร่วงหนัก พอร์ตเปิดมา drawdown เลย เราต้องคาดการณ์ออกมาให้ครบ แล้วเขียน action plan ออกมาเตรียมไว้ก่อนครับ เพราะเวลาคุณเจอหน้างาน คุณจะได้ไม่ช็อคและขาดสติ เหมือนกับเวลาที่นักบินเขาเจออาการขัดข้องของเครื่องบิน สิ่งที่เขาทำคือหยิบคู่มือการบินขึ้นมา เพราะมันมีแผนรองรับไว้หมดแล้ว ทำให้ช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมีสติและลดอาการช็อคหน้างานลงไปได้ครับ
3. การสร้างตัววัดผล
การที่จะทำให้คุณมีวินัยมากขึ้นคือคุณจะต้องมีตัววัดผล เหมือนที่มีการวัดผลอย่าง OKR และ KPI มาวัดประสิทธิภาพในการทำงาน คนที่เป็นเทรดเดอร์ก็ต้องมีการวัดผลเช่นกัน แต่การทำสร้างวินัย เราไม่ได้วัดผลกันที่ผลลัพธ์ แต่เป็นการวัดผลที่การกระทำ เช่น การทำระบบคะแนนขึ้นมา เช่น หุ้นตัวที่เราเล่นตามกลยุทธ์มั้ย จุดที่ซื้อตาม setup มั้ย จุดที่ขายเราขายตามแผนมั้ย position size เราถูกต้องตามที่วางหรือไม่ และสภาพจิตใจหรือการเตรียมพร้อมในแต่ละวัน เราพร้อมเทรดหรือไม่ และทำระบบคะแนน จดบันทึกและวัดผล ถ้าเราทำระบบตรวจสอบขึ้นมา เราจะรู้ว่าเราจะต้องแก้ไขตรงไหน และหาแนวทางในการแก้ไขต่อไป
คนธรรมดาก็จะมีวินัยในระดับหนึ่ง แต่ถ้าคุณจะทำอาชีพนี้คุณก็ต้องยกระดับโดยเฉพาะเรื่องของวินัยในการทำงานให้สูงกว่าคนทั่วไป และยกระดับมันขึ้นเรื่อยๆ จนคนอื่นตามไม่ทัน คนธรรมดาเขาเป๊ะระดับหนึ่ง แต่เราต้องเป๊ะกว่า ต้องชนะตั้งแต่เรื่องพวกนี้ เหมือนที่นักกีฬาเขาจริงจังกว่าคนทั่วไปเล่นกีฬา ถ้าเราจะชนะคนอื่นให้ขาด มันต้องขาดตั้งแต่มายเซ็ตและการกระทำแล้วมันจะนำพาไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
เรื่องของการแนะนำในเรื่องการทำให้คุณสามารถทำตามแผนได้ดียิ่งขึ้นก็จะมีประมาณนี้ครับ
พอขั้นต่อไปพอเราพัฒนาจนมี กลยุทธ์ที่ได้เปรียบและทำตามแผนได้อย่างดีแล้ว สิ่งที่เราจะต้องทำต่อคือทำให้สิ่งพวกนี้มันดำรงอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ เพราะแน่นอนเวลามันไหลไปเรื่อยครับ อะไรที่มันใช้ได้ในปัจจุบัน มันอาจจะใช้ไม่ได้ในอนาคต ฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องมีระบบในการตรวจสอบและพัฒนาเพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์และตัวเรามันยังมีประสิทธิภาพอยู่คล้ายๆ ที่ในบริษัทมักมีพวกแผนก R&D
อย่าประมาท ถ้าใครเคยเล่นพวกเกม online ที่แข่งกันก็น่าจะเข้าใจผมเป็นอย่างดี คุณเก่งใน patch นี้ patch หน้าเกมมันเปลี่ยนคุณก็อาจจะเล่นกากก็ได้ถ้าไม่ปรับตัว หลายๆ คนชะล่าใจคิดว่าชนะมาตลอดหลายปีที่แล้ว จะชนะต่อไปเรื่อยๆ ก็อาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด
ซึ่งในโลกของการเทรดระบบในการตรวจสอบและพัฒนา มันคือเรื่องของการทำบันทึกและการทำ Post analysis เพื่อพัฒนาระบบ ซึ่งพอคุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ต่อเนื่อง มันจะก่อให้เกิดกระบวนการเทรดที่แข็งแกร่ง นั่นคือ วางแผน → ปฎิบัติ → ตรวจสอบ → พัฒนา วนเป็น loop จนเกิดความยั่งยืนและทำให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่เก่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ทุกวันนี้หลังจากที่ผมฝึกมาได้ซักระยะหนึ่ง ก็พบว่าตัวเองมีความสุขในการเทรดมากขึ้นครับ ปล่อยวางได้มากขึ้น ไม่ค่อยได้ไปอะไรกับหุ้นมากเท่าไหร่ ไม่ค่อยไปไล่หุ้นเหมือนเคย ทำตามแผนได้มากขึ้น พอแพ้ก็ไม่ค่อยได้เจ็บปวดมาก แพ้ติดหลายเดือนอาจจะมีเซ็งบ้าง ทุกวันนี้ก็จะพยายามคิดเหมือนที่บอก คือ พัฒนาระบบ แล้วหาแต่การเทรดที่มันตรงตามกระบวนการ เหมือนการใส่วัตถุดิบที่ถูกต้องลงในเครื่องจักรที่เรามั่นใจว่ามันทำเงินได้ แล้วก็พอเทรดไปซักระยะก็เก็บผล วัดผล แล้วก็มาพัฒนาเครื่องจักรทำเงินของเราต่อ จนทุกวันนี้ก็พอจะเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้บ้าง
เรื่องพวกนี้ก็คือสิ่งที่ผมอยากจะแนะนำให้กับมือใหม่ครับ แต่ก็อย่าเชื่อผมมากนัก ลองใช้วิจารณญาณในการอ่านดูนะครับ แต่ถ้าอยากศึกษาเรื่องพวกนี้เพิ่มเติมอาจจะสามารถ search keyword พวกนี้เพิ่มเติมได้ครับ
- Trading expectancy
- Trading process
- Self-awareness / Emotional awareness
- the law of large numbers
- Good trading / bad trading
- The casino mentality
- Delayed gratification
วันนี้ก็ขอจบบทความนี้ประมาณนี้นะครับ
โชคดีในการเทรดทุกท่านครับ
ปล. จริงๆ ที่ไม่แปลภาษาอังกฤษ ไม่ใช่เพราะขี้เกียจนะครับ แต่อยากเอา quote จริงมาให้อ่านเพื่อจะแสดงให้เห็นว่า เขาคิดกันแบบนั้นจริงๆ ไม่ได้สรุปมาเอง