Category: Trading Method

  • ปัญหาสุดคลาสสิคในการเทรด

    ปัญหาสุดคลาสสิคในการเทรด

    – บทความ ปัญหาสุดคลาสสิคในการเทรด โดย Pradeep Bonde – วันนี้ผมนำบทความของเทรดเดอร์มือเก๋าและโค้ชที่ฝึกเทรดเดอร์มามากมาย เกี่ยวกับปัญหาที่คนส่วนใหญ่เป็นกันจนมันเป็นปัญหาสุดคลาสสิคเลย จะเป็นปัญหาอะไรและแก้ไขอย่างไร ลองอ่านกันดูนะครับ บทความสั้นๆ ครับ “You can trade anything but not everything” ถ้าหากคุณอยากพัฒนาทักษะการเทรด สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือ โฟกัสวิธีการเทรดให้แคบลง คุณควรเทรดแค่เพียงเซ็ทอัพเดียวหรืออย่างมากที่สุดเพียง 3 เซ็ทอัพ ยิ่งคุณมีเซ็ทอัพในการเทรดมากเท่าไหร่ คุณยิ่งจะจัดการมันได้ยากขึ้นเท่านั้น ทั้งเรื่องของการแสกนหาเซ็ทอัพ การวิเคราะห์ การเลือกและการจัดการเทรด มันยิ่งเป็นงานที่หินขึ้นตามเซ็ทอัพที่คุณมี ปัญหาสุดคลาสสิคที่คนทั่วไปทำได้แย่มากในตลาด คือพวกเขาไม่สามารถโฟกัสในเซ็ทอัพใดเซ็ทอัพหนึ่งได้ เมื่อไหร่ที่คุณสามารถกำจัดเซ็ทอัพที่มีอยู่เยอะแยะและโฟกัสแค่เพียง 1 หรือ 2 เซ็ทอัพ คุณจะพบกับความจริงได้อย่างรวดเร็ว คุณจะเริ่มเชี่ยวชาญในเซ็ทอัพของคุณ และเริ่มปรับรายละเอียดต่างๆ ในเซ็ทอัพนั้นให้ดียิ่งขึ้น ทุกๆ งานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาความเชี่ยวชาญบ่งบอกว่าการโฟกัสสิ่งต่างๆ ให้แคบลงคือวิธีการที่ดีสุดในการพัฒนาความเชี่ยวชาญในทุกแขนง มันทำให้คุณสามารถพัฒนาทักษะที่เฉพาะและจำเป็นต่อความเชี่ยวชาญนั้นๆ ดังนั้นในทุกสัปดาห์คุณควรที่จะคิดเรื่องการจำกัดการฝึกในเซ็ทอัพให้แคบลง และกำจัดอะไรที่มันไม่ได้ส่งผลดีต่อคุณออกไป ทำไมเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ถึงไม่สามารถอยู่กับเซ็ทอัพใดเซ็ทอัพหนึ่งได้นาน หรือเทรดหลายๆ วิธีการ ? นั่นเพราะว่าพวกเขาขาดความเชื่อมั่นและเชี่ยวชาญในวิธีการเทรด หรือคิดว่าคนอื่นๆ…

  • การซื้อหุ้นแบบพีระมิด

    การซื้อหุ้นแบบพีระมิด

    – การซื้อหุ้นแบบพีระมิด (PYRAMID YOUR WAY TO PROFITS) โดย Humble Trader Diary – กลับมาเขียนอะไรที่เป็น Method บ้างครับ จะเขียนสลับๆไปมาระหว่างบทความแปลกับพวก Mindset จะได้หลากหลายครับ ฝากกด Like กด Share ด้วยนะครับ ปล เนื้อหาอาจจะเป็นกราฟ Bar Chart ที่แอดมินถนัดนะครับ ใครใช้แท่งเทียนต้องขอโทษด้วยนะครับ การซื้อหุ้นแบบพีระมิดหรือการซื้อเฉลี่ยขาขึ้น จากการที่เราซื้อหุ้นไม้เดียวจะเปลี่ยนมาเป็นการทยอยซื้อแบ่งเป็นขั้นๆ โดยที่การซื้อขั้นแรกจะซื้อเป็นสัดส่วนเยอะที่สุด เมื่อหุ้นยิ่งขึ้นเราจะยิ่งทยอยซื้อเป็นขั้นขึ้นไปจนเต็ม Position คล้ายๆกับการสร้างพีระมิดในอียิปต์ เราจะแบ่งการซื้อเป็นกี่ไม้แล้วแต่เราถนัดนะครับ แต่ตามที่แอดมินถนัดก็จะเป็นสัดส่วน 50%-30%-20% โดยที่หน้าต่อไปเราจะมาพูดถึงข้อดี-ข้อเสียของมันกันครับ มาถึงเรื่องของข้อดี-ข้อเสียในการซื้อหุ้นแบบพีระมิดนะครับ อย่างที่เคยบอกในหลายๆครั้งว่าการเล่นทุกรูปแบบมันก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย จุดสำคัญคือต้องเข้าใจและเลือกที่เหมาะกับเราผ่านการทดลองใช้งาน เรามาพูดถึงข้อดีของมันก่อน ข้อดีของการซื้อแบบพีระมิด 1. การซื้อแบบพีระมิดเหมือนเป็นการลองแหย่เท้าข้างนึงลงไปในน้ำก่อนที่เราจะลงน้ำไปทั้งตัวครับ มันคือการลดความเสี่ยงจากการที่เราซื้อหุ้นเต็มจำนวน เปลี่ยนเป็นการซื้อหุ้นจำนวนหนึ่งก่อน รอให้มันพิสูจน์ตัวเองว่ามันขึ้นแล้วค่อยเพิ่มน้ำหนักของการถือขึ้นไป ถ้าเราขาดทุนแต่แรกเราจะขาดทุนน้อยกว่าที่เราซื้อเต็มจำนวน (ถ้าเราวางStop loss เท่ากัน) ยิ่งในตลาดที่ไม่อำนวยต่อการซื้อ เกิดการ…

  • ตลาดมักบอกใบ้เราเสมอ (Part 2)

    ตลาดมักบอกใบ้เราเสมอ (Part 2)

    – ตลาดมักบอกใบ้เราเสมอ ภาค 2 การปรับใช้งาน โดย Humble Trader Diary – พอดีมีบทความนึงที่หลายๆคนมักถามเข้ามาตลอดตั้งแต่ผมเริ่มทำเพจ เป็นบทความที่คนค่อนข้างให้ความสนใจและได้รับ Feedback กลับมาเยอะ ความเห็นค่อนข้างหลากหลาย ฉะนั้นเพื่อให้หลายๆท่านเข้าใจมันมากขึ้น ผมก็เลยเขียนบทความนี้เพิ่มขึ้นมาครับ งั้นเรามาเริ่ม Part 2 กันเลยครับ หมายเหตุ : โดยส่วนตัวแล้วผมเองจะไม่ค่อยอยากแชร์ หรือพูดเกี่ยวกับหุ้นไทยแบบเจาะจงรายตัวลงในเพจเท่าไหร่นัก เพราะมันจะเป็นการชี้นำมากเกินไป (ซึ่งถ้าใครอ่านบทความทั้งหมดมา ผมยกหุ้นไทยในบทความนับครั้งได้เลย หรือไม่ก็เป็นหุ้นไทยที่เหตุการณ์เกิดขึ้นนานแล้ว ส่วนใหญ่จะเอาตัวอย่างหุ้นฝรั่งให้ดู) แต่เพื่อเป็นการอธิบายให้ทุกคนเข้าใจและนำไปปรับใช้กันง่ายขึ้น ผมจะขอยกตัวอย่างหุ้นไทยโดยที่จะเอามาจากช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งห่างจากเวลาปัจจุบันเป็นเวลา 2-3 เดือน (ถ้ามีการยกตัวอย่างหุ้นไทยในบทความถัดๆไป ผมก็ว่าจะทิ้งระยะห่างจากปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 2-3 เดือนครับ) เรามาเริ่มทวนหลักการจากบทความที่แล้วกันก่อน “หุ้น 80-90% ในตลาดจะแสดงพฤติกรรมเดียวกับดัชนีของมัน” ถ้าตลาดลงหนัก หุ้นส่วนใหญ่จะลงหนัก ถ้าตลาดเป็นเทรนด์ขาลงระยะยาว หุ้นส่วนใหญ่ก็จะพังเป็นแนวโน้มขาลงไปพร้อมกับตลาด ส่วนที่ตลาดหุ้นเกิดการปรับฐานหรือเป็นขาลง แล้วมีหุ้นที่สามารถยืนอยู่ได้โดยที่ไม่ลงเหวไปกับตลาดหรือหลายตัวที่ขึ้นสวนทางเลยหุ้นเหล่านี้เรียกว่า “หุ้นที่แกร่งกว่าตลาด” เรามาดูหุ้น “GULF” ในช่วงปีที่แล้วกันครับ ในช่วงต้นปี ถึงช่วงต้นเมษายน…

  • ตลาดมักบอกใบ้เราเสมอ (Part1)

    ตลาดมักบอกใบ้เราเสมอ (Part1)

    – ตลาดมักบอกใบ้เราเสมอ by Humble Trader Diary – บทความนี้ผมเคยไปแชร์ให้กลุ่มเทรดกลุ่มนึงแล้ว วันนี้เอามาเขียนเป็นบทความให้พอได้แนวคิดครับ แนวคิดนี้ได้มาจาก Joe Fahmy ที่พูดในงานของ ChartSummit และ David Ryan จากสัมมนา Actionable Insight นะครับ ถ้าใครตามอ่านงานของ 2 ท่านนี้มาจะรู้ว่าทั้ง 2 ท่าน เทรดโดยนำ Criteria ทางด้านปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคมาใช้ในการประกอบการตัดสินใจ แต่สิ่งที่ทั้งสองท่านมักพูดอยู่เสมอคือ ให้สังเกตที่ตลาดกับหุ้นรายตัวในตลาด โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ปัจจัยอื่น เช่น พื้นฐานหุ้น หรืออินดิเคเตอร์ต่างๆนาๆ เราก็พอจะสามารถหาหุ้นผู้ชนะในอนาคตได้ครับ ซึ่งวันนี้ผมจะขยายหลักการนี้ โดยเอามาเขียนในแบบง่ายๆ โดยที่คนไม่ได้ศึกษาทางด้านนี้มาก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ ลองดูกันครับ เรามาพูดถึงหลักการง่ายๆกันก่อน ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือที่เราเรียกว่า SET INDEX (SET) มันคือดัชนีราคาที่สะท้อนหุ้นทุกตัวในตลาด เพราะมันถูกคำนวณจากราคาหุ้นทุกตัวในตลาดมาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก จึงไม่แปลกเลยที่เราจะเห็นได้ว่าถ้าวันไหน SET ขึ้นแรง หุ้นในตลาดก็มีความน่าจะเป็นขึ้นแรง ถ้า SET ตกหนักเราก็จะเห็นหุ้นเกือบทั้งตลาดตกหนัก…

  • บทเรียนจากลูกของพ่อมดตลาดหุ้น : เพราะแบบนี้กฎการขายหุ้นถึงสำคัญ

    บทเรียนจากลูกของพ่อมดตลาดหุ้น : เพราะแบบนี้กฎการขายหุ้นถึงสำคัญ

    – บทเรียนจากลูกของพ่อมดตลาดหุ้น แปลและเรียบเรียงโดย Humble Trader Diary – ตามหลักการนักลงทุนควรมีกฎการขายหุ้น 2 ชุด ชุดแรกใช้สำหรับการล็อคผลกำไรที่ได้ กับอีกชุดหนึ่งใช้ในการป้องกันนักลงทุนจากการขาดทุนหนัก เมื่อหุ้นที่คุณเทรดได้กำไรจำนวนมากหรือขาดทุนจำนวนมาก โอกาสที่อารมณ์ของคุณจะเข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจก็มากขึ้นตามไปด้วย มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการมีกฎในการขายถึงสำคัญมาก กฎพวกนี้ช่วยลดการตัดสินใจด้วยอารมณ์และโฟกัสไปที่การกระทำอย่างมีเหตุผล เหมือนกับที่หมอใช้ผลของชาร์ตและเอกซเรย์ในการช่วยยืนยันผลของการรักษาโรค กฎการขายที่สำคัญที่สุดของพวกเราคือการขายเพื่อรักษาเงินทุนและป้องกันการขาดทุนหนักโดยจำกัดการขาดทุนไม่เกิน 8% ถ้าพวกเราทำการบ้านมาอย่างถูกต้องและเข้าเทรดในจุดที่ถูกต้อง หุ้นของเราไม่ควรจะตกไปถึง 8% ถ้ามันเกิดขึ้นแสดงว่าเราทำอะไรผิดไปหรือเราลงทุนในช่วงที่ตลาดอ่อนแอ อย่างไรก็ตามความผิดเหล่านี้พวกผมจะแก้มันโดยการตัดขาดทุนโดยทันที การ “Cut Loss Short” เป็นการทำให้เราหลุดจากบ่วงกับดักของอีโก้ของตัวเอง “เฮ้ย เราลงทุนในบริษัทที่ดี งบก็ออกมาดี เราทำถูกแล้ว ไม่ต้องขายหรอก เดี๋ยวมันก็กลับขึ้นมา” หรือกับดักของความหวัง “ขอให้หุ้นมันเด้งซักหน่อยเหอะหว่ะ ถึงทุนเลยยิ่งดีจะได้ขายออกไปซักที” ยิ่งไปกว่านั้นนักลงทุนหลายคนมักซื้อถัวเฉลี่ยขาลงแทนที่จะทำตามกฎการขายที่เหมาะสม การเข้าไปถัวหุ้นที่คุณขาดทุนอยู่สามารถทำให้เกิดความหายนะต่อพอร์ตได้เลย การถัวมันสามารถทำให้ทุนเฉลี่ยของหุ้นคุณต่ำกว่าเดิมได้ก็จริง แต่เมื่อหุ้นมันตกใครจะไปรู้ว่ามันจะตกไปอีกไกลแค่ไหน นักลงทุนหลายคนมีก็มีปัญหากับการจัดการกับหุ้นที่ตัวเองกำไรไม่แพ้คนที่มีปัญหากับการตัดขาดทุน มันเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจำเป็นต้องมีกฎการขายเพื่อที่จะกำหนดว่าเมื่อไหร่ควรจะเทคกำไรออกมา การทำอะไรมั่วๆมันไม่ดีพอหรอกโดยเฉพาะในตลาดหุ้น จากการค้นคว้าของเราหุ้นนำตลาดส่วนใหญ่จะเบรคขึ้นจากฐานราคาประมาณ 20-25% แล้วมีแนวโน้มว่าจะย่อแล้วสร้างฐานใหม่ ดังนั้นกฎของพวกเราคือการขายหุ้นที่ถือเกือบทั้งหมดเมื่อหุ้นขึ้น 20-25% เวลาที่ดีที่สุดที่จะขายหุ้นก็คือช่วงที่หุ้นมันยังขึ้นอยู่ (Sell into strength) ขณะที่หุ้นกำลังขึ้นพวกเราไม่ประมาทและเฝ้าระวังสัญญาณที่เทรนด์ขาขึ้นจะอ่อนแอลงอยู่ตลอด…

  • The CANSLIM Chart Reading: Cup-With-Handle

    The CANSLIM Chart Reading: Cup-With-Handle

    – The CANSLIM Chart Reading: Cup With Handle by Humble Trader Diary – วันนี้ผมจะมาแชร์เกี่ยวกับการอ่านฐานราคาเบื้องต้นของ Cup-With-Handle Base (CWH) หรือฐานราคารูปถ้วยและหูจับ อย่างที่คนไทยรู้จักกัน เนื่องจากคิดว่าข้อมูลที่ผมอ่านในไทยส่วนใหญ่จะแชร์มาจากหนังสือ “CAN SLIM คัดหุ้นชั้นยอด ด้วยระบบชั้นเยี่ยม หรือ How to Make Money in Stocks” ของ William J. O’Neil ที่ทางสำนักพิมพ์เอ็นซิกซ์เป็นผู้แปลและเผยแพร่เป็นหลัก ผมก็เลยจะมาลองแชร์สิ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับฐาน ราคา CWH จากแหล่งข้อมูลอื่นดูบ้างครับ กราฟฐานราคา CWH ได้รับการเผยแพร่ในโลกของตลาดทุนมาจากหลายแหล่งมาก แต่หนึ่งในองค์ความรู้ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายคือแนวคิดของวิลเลียม โอนีล หนึ่งในพ่อมดตลาดหุ้น และผู้ก่อตั้งบริษัท Investor’s Business Daily (IBD) โอนีลประสบความสำเร็จในการเทรดหุ้นอย่างมากในช่วงปี 60’s ด้วยกลยุทธการลงทุนที่พัฒนาขึ้นที่ชื่อว่า “CANSLIM”…

  • การเทรดที่ดี โดย Galen Woods

    การเทรดที่ดี โดย Galen Woods

    –บทความ เทรดที่ดี โดย Galen Woods– การวิเคราะห์ผลการเทรดเป็นสิ่งที่ทำให้การเทรดของคุณมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างชัดเจน ในระยะสั้นๆ คุณสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมโดยไม่ต้องวิเคราะห์ผลการเทรดก็ได้ แต่การที่คุณเทรดโดยไม่เคยวิเคราะห์ผลการเทรดเลย มันก็เหมือนการเทรดโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่คล้ายกับการเล่นพนัน เกมของจริงในตลาดมันคือการเรียนรู้ว่าอะไรใช้ได้ผลและยึดติดอยู่กับมัน พวกคุณรู้กันอยู่แล้วว่า การที่ผลงานของคุณจะดีขึ้น คือคุณต้องเทรดให้ดี และลดการเทรดแย่ๆ ลงไป แต่เทรดเดอร์เกือบทั้งหมดวิเคราะห์ผมการเทรดแบบผิดๆ พวกเขาไม่รู้ว่าเทรดที่ดีคืออะไร หลังจากที่คุณอ่านบทความนี้ คุณจะรู้ว่าเทรดที่ดีคืออะไร และเทรดแบบไหนที่คุณต้องทำต่อไปเรื่อยๆ มาเริ่มกันเลย โดยปกติแล้วคุณจะถูกแนะนำให้เทรดเฉพาะการเทรดที่ดีเท่านั้น เหล่ากูรูต่างๆ มักจะบอกถึงความสำคัญของการยึดติดกับการเทรดที่ดี แต่มีไม่มากนักที่จะบอกเราว่า เทรดที่ดีนั้นมันมาจากอะไร จริงๆ แล้วคุณไม่สามารถตัดสินว่าเทรดแต่ละเทรดนั้นดีจากกำไรที่มันเกิดขึ้น และไม่สามารถบอกว่าการเทรดนั้นแย่แค่เพียงเพราะมันเป็นการเทรดที่ขาดทุน มันมีอะไรมากกว่านั้น เราไม่สามารถตัดสินใจการเทรดที่ดีหรือแย่จากเพียงแค่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เพราะมันมีอีกหลายแง่มุมที่คุณต้องพิจารณา ซึ่งสำหรับตัวมันมี 3 หลักการที่คุณสามารถใช้พิจารณาว่าการเทรดนั้นมันดีหรือแย่ 1. เทรดที่ดีต้องมีรากฐานที่แข็งแรง เทรดที่ดีจำเป็นจะต้องมาจากวิธีการเทรดที่มี Positive expectancy การเทรดที่ดีมันไม่ใช่มาอย่างมั่วๆ คุณจะต้องมีเหตุผลที่ดีในการจะเทรดในแต่ละครั้ง ถ้าคุณไม่ได้เทรดจากรากฐานที่ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะออกมากำไร คุณก็ไม่สามารถเรียกมันว่ามันเป็นเทรดที่ดีได้ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าวิธีการที่คุณใช้มันเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพ ? มันขึ้นอยู่กับแนวทางการเทรดของคุณ 1. คุณมีชุดของกฎการเทรดที่คลอบคลุมและตรวจสอบมาอย่างดี 2. คุณใช้กฏเหล่านั้นมาลองกับชุดข้อมูลในอดีตและทำการเทรดจำลอง 3. ผลลัพธ์การทดสอบแสดงผลออกมาว่าคุณได้กำไร 4.…

  • วิธีการหาหุ้นผู้ชนะตัวต่อไป โดย Mark Minervini

    วิธีการหาหุ้นผู้ชนะตัวต่อไป โดย Mark Minervini

    สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมเอาบทความของเซียนหุ้น Mark Minervini มาแปลให้อ่านกันนะครับ มีหลายๆ ท่านบอกว่าอยากอ่านเกี่ยวกับ Method บ้าง ช่วงหลังๆ ผมดันเขียนแต่ Mindset ลงในเพจ ครั้งนี้จึงแปลบทความที่เกี่ยวกับหลักการหาหุ้นของมาร์คในช่วงตลาดขาลงมาฝากครับ เป็นบทความที่ไม่ยาวแต่มีคุณภาพมากครับ ลองอ่านกันดูนะครับ ในการคาดการณ์ตลาดแต่ละครั้ง พวกสื่อทั้งหลายมักคาดการณ์ผิดทางอยู่เสมอๆ ณ จุดต่ำสุดของตลาด พวกเขามักจะทำนายว่าโลกกำลังจะแตก วิกฤตจะดำเนินต่อไปอีกนาน และ ณ จุดสูงสุดของตลาดในแต่ละรอบ พวกเขามักจะแนะนำให้เราเข้าไปลงทุนในตลาดเพื่อหวังว่าตลาดจะไปต่ออีกไกล คุณจะรู้สึกสับสนอย่างมากถ้าหากคุณมัวแต่ฟังความเห็นของคนอื่น แทนที่จะใส่ใจกับสิ่งที่หุ้นทั้งหลายกำลังจะบอกคุณอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หุ้นนำตลาด” กว่า 90% ของหุ้นที่สร้างผลตอบแทนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์จะแสดงความแข็งแกร่งในช่วงตลาดหมีหรือตลาดปรับฐาน สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องทำการบ้านในช่วงที่ตลาดตกหนัก เพื่อที่คุณจะพร้อมที่สุดเมื่อโอกาสมาถึง ในช่วงเดือนแรกๆ ของตลาดขาขึ้นรอบใหม่ คุณจะเห็นหุ้นหลายตัวเริ่มทะยานขึ้นมา ตลาดหุ้นจะปรับฐานเพียงเล็กน้อยประมาณ 3-5% จากจุดพีค เหล่านักลงทุนที่ไม่มีประสบการณ์มักจะรอการปรับฐานหนักๆ เพราะคิดว่าหุ้นที่ขึ้นมานั้นสูงเกินไปที่จะซื้อ ซึ่งการปรับฐานหนักๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากในช่วงเริ่มต้นของตลาดขาขึ้นรอบใหม่ บ่อยครั้งที่หุ้นที่ยืนได้แข็งแกร่งในช่วงตลาดหมีมักจะมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง มีผลิตภัณฑ์และบริการที่เยี่ยมยอด หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นดาวรุ่ง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มของราคาหุ้นเหล่านั้นอาจจะตกลงชั่วคราวหรือหยุดชะงักจากสภาพตลาดที่ย่ำแย่ของตลาดขาลง แต่ราคาหุ้นของหุ้นเหล่านี้จะไม่ลดลงรุนแรงเท่ากับหุ้นโดยส่วนใหญ่ หุ้นดาวรุ่งพวกนี้โดยทั่วไปมักจะมีความยืดหยุ่นและเด้งกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เมื่อตลาดหมีเริ่มอ่อนแรงและเริ่มมีแรงซื้อเข้ามา หุ้นที่มีผลประกอบการที่ดีจะพุ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่และขึ้นไปได้ไกลมากๆ ขณะที่หุ้นที่มีผลประกอบการอ่อนแอ…

  • หาหุ้นแบบนกอินทรีอย่างคุณ Michael Lamothe

    หาหุ้นแบบนกอินทรีอย่างคุณ Michael Lamothe

    บทความนี้ผมสรุปการเลือกหุ้นและวิธีเทรดของสาย Techno-fundamental trading มาฝากครับ ระบบนี้มีชื่อว่า “EAGLE” หรือ “การเทรดแบบนกอินทรี” ของคุณ Michael Lamothe ครับ คุณไมค์เทรดในตลาดหุ้นมามากกว่า 20 ปี รวมถึงเป็นโค้ชให้กับเทรดเดอร์มาแล้วมากกว่าหนึ่งพันคน เริ่มแรกผมเริ่มตามงานของคุณไมค์เพราะหลายปีก่อนได้ไปลงสัมมนาออนไลน์ในกลุ่ม NYC Meetup แล้วแกพูดดีมาก จนได้ตามงานแกเรื่อยๆ แกไปออกรายการเทรดหลายรายการ รวมถึง podcast ที่คุณไมค์ทำในตอนนี้ก็มีประโยชน์มากๆครับ เขาได้รับอิทธิพลจากเทรดเดอร์ 4 ท่าน คือคุณ O’Neil, Minervini, Darvas, Livermore และโค้ชเทรดเดอร์ระดับโลกอย่างคุณ Van Tharp ครับ ฉะนั้นวิธีการก็จะคล้ายๆ กับเหล่าตำนานหน่อย แต่รายละเอียดปลีกย่อยก็จะมีจุดที่ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง สไตล์การเทรดหลักของแกจะเป็นการเทรดที่ผสมระหว่าง Day Trading และ Swing Trading ในหุ้นที่แกร่งกว่าตลาดครับ โดยแกจะมีส่วนที่นำหลักการของหุ้นแกร่งกว่าตลาดไปใช้ในการ Day-trade ใน Timeframe ย่อยเพื่อหากระแสเงินสดร่วมกับการลด Drawdown ของระบบรวมถึงเล่น Swing-Trade…

  • ท่าไม้ตายกับการเทรดหุ้น

    – ท่าไม้ตายกับการเทรดหุ้น โดย Humble Trader Diary – บทความนี้เกิดมาจากที่เมื่อวันก่อนผมไปเที่ยวแล้วเดินผ่านภาพกราฟฟิตี้บนกำแพงของสุดยอดซุปเปอร์หนังแอคชั่นอย่าง บรูซ ลี เข้า มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงช่วงฝึกเล่นหุ้นปีแรกที่ครูของผมท่านนึงได้เอา คำคมของบรูซ ลี มาแปะเพื่อใช้ในการสอนเทรดหุ้นในคลาสสัมมนา “ไม่ใช่คนที่ฝึกเตะมาเยอะกว่า 10,000 ท่าหรอกที่น่ากลัว แต่เป็นคนที่ฝึกเตะท่าเดียวซ้ำๆมาเป็น 10,000 ครั้งต่างหากที่ผมกลัว” บรูซ ลี คำคมนี้สะท้อนให้เห็นถึง การจดจ่อในการฝึกฝนตัวเองในแนวทางใดไม่กี่แนวทางเพื่อให้เกิดความชำนาญระดับสูงอาจจะให้ผลที่ดีกว่าการที่เราฝึกฝนตัวเองในหลายๆแนวทางแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญซักอย่าง โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าประโยคนี้ค่อนข้างจะเป็นจริงครับ แล้วเป็นจริงในหลายๆวงการ ถ้าเราลองดูในภาพยนต์หรือการ์ตูนก็เช่นกัน ฮอร์คอายในเรื่องอเวนเจอร์ก็ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศหรือปล่อยพลังได้ แต่สิ่งที่เขาสามารถทำได้คือความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธระยะไกลระดับเหนือมนุษย์ ทำให้เป็นกองกำลังสำคัญของหน่วยอเวนเจอร์ หรืออย่างในการ์ตูน ดราก้อนบอล ซุน โงกุน(โกคู) ไม่ว่าจะต่อยเตะกับศัตรูมาตลอดทั้งเรื่อง แต่สุดท้ายก็ต้องปราบศัตรูด้วยไม้ตายพลังคลื่นเต่าหรือบอลเก็งกิทุกครั้งไป จนทำให้หลายๆคนเวลาเห็นตัวละครโงกุนจะคิดถึงพลังคลื่นเต่าก่อนดราก้อนบอลเสียอีก ในด้านของแวดวงกีฬา ซึ่งผมจะเป็นคนที่ชอบดูกีฬาเป็นพิเศษอยู่แล้วยิ่งเห็นเรื่องพวกนี้ค่อนข้างชัดเจน ผมขอยกตัวอย่าง 3 นักกีฬาที่มีแนวทางเฉพาะตัว แล้วสามารถประสบความสำเร็จระดับสูงในโลกของกีฬา คนแรก Floyd Mayweather หนึ่งในนักมวยที่เก่งที่สุดตลอดกาลของโลก สไตลของฟรอยด์จะไม่ใช่สไตลเดินหน้าไล่ฆ่าอย่างเดียวแบบนักมวยทั่วๆไป แต่เป็นสไตล Defensive counter-puncher หรือสไตลตั้งรับและสวนกลับ และไม่ว่าจะไปต่อยกว่าใคร ฟรอยด์ก็มักจะตั้งรับให้แน่นไว้ก่อน…