นักเก็งกำไรที่ฉลาดทุกคนจะเตรียมพร้อมกับสัญญาณอันตรายเสมอ

– นักเก็งกำไรที่ฉลาดทุกคนจะเตรียมพร้อมกับสัญญาณอันตรายเสมอ Lessons from The Great Bear Of Wallstreet –

หุ้นก็เปรียบเหมือนกับมนุษย์ที่มีทั้งนิสัยและพฤติกรรม บางตัวมีความเครียด กระสับกระส่าย และผันผวน บางตัวมั่นคง ตรงไปตรงมาและมีเหตุผล เทรดเดอร์ผู้มีความชำนาญจะเรียนรู้และพิจารณาว่าหุ้นตัวนั้นๆ เป็นอย่างไร การเคลื่อนไหวของหุ้นสามารถคาดการณ์ได้ภายใต้สภาวะที่หลากหลาย ตลาดหุ้นไม่เคยอยู่นิ่ง บางครั้งพวกมันอาจซบเซาแต่ไม่ได้หยุดที่ราคาใดราคาหนึ่ง เพียงแค่เคลื่อนไหวขึ้นหรือลงเล็กน้อย

เมื่อหุ้นเริ่มมีแนวโน้มที่ชัดเจน มันจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้นอย่างต่อเนื่องตามเส้นแนวโน้ม ตลอดทางการเคลื่อนที่ของราคา

คุณจะสังเกตเห็นปริมาณการซื้อขายจำนวนมากที่มาพร้อมกับการขึ้นของราคาอย่างค่อยเป็นค่อยไปซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่วันที่จุดเริ่มต้นของแนวโน้ม หลังจากนั้นสิ่งที่ผมเรียกว่า “การสะท้อนอย่างปกติ” จะเกิดขึ้น โดยปริมาณการขายของการสะท้อนนั้นจะมีปริมาณน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่หุ้นขึ้น

การสะท้อนนี้คือสิ่งปกติที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นอย่าไปกลัวกับการเคลื่อนไหวเช่นนี้ แต่ควรระวังการเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติมากกว่าอย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมราคา

ในช่วงหนึ่งถึงสองวันต่อมา การขึ้นของราคาจะเกิดขึ้นอีกครั้ง รวมถึงปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นด้วย ถ้าการเคลื่อนไหวของราคานี้เป็นของจริง การสะท้อนอย่างปกติจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและหุ้นจะขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ครั้งนี้ การขึ้นของราคาควรจะเป็นไปอย่างแข็งแกร่งซักระยะโดยมีการสะท้อนระหว่างวันเพียงเล็กน้อย

ไม่ช้าหรือเร็ว หุ้นจะเข้าสู่ช่วงการสะท้อนอย่างปกติอีกครั้ง เมื่อการตอบสนองเกิดขึ้น มันควรจะอยู่ในระนาบเดียวกับการตอบสนองครั้งแรก เพราะนี่คือพฤติกรรมปกติที่หุ้นเคลื่อนไหวในช่วงที่มีแนวโน้วอย่างชัดเจน

ช่วงแรกของการขึ้นของราคา ระยะจากจุดที่อยู่เหนือจุดสูงสุดเดิม ถึงจุดสูงสุดใหม่จะยังไม่ห่างกันมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะสังเกตเห็นการเคลื่อนที่ของราคาขึ้นไปได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก

ผมขออธิบายให้เห็นภาพมากขึ้น เมื่อเราซื้อหุ้นที่ 50 เหรียญในระยะแรกของการเคลื่อนที่ ราคาของหุ้นขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนถึง 54 เหรียญ ต่อมาหุ้นได้เกิดการสะท้อนอย่างปกติเป็นเวลาหนึ่งถึงสองวัน โดยย่อตัวกลับลงมาที่ 52 เหรียญ สามวันต่อมาหุ้นเริ่มเคลื่อนที่กลับขึ้นไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันสามารถขึ้นไปได้ถึง 59 หรือ 60 เหรียญ ก่อนที่จะเกิดการสะท้อนอย่างปกติอีกครั้ง

แต่แทนที่การสะท้อนนั้นจะทำให้หุ้นย่อตัวเพียงหนึ่งหรือหนึ่งจุดห้าเหรียญ การสะท้อนครั้งนี้อาจจะทำให้หุ้นย่อตัวไปถึงระดับสามเหรียญได้ไม่ยาก เมื่อหุ้นฟื้นกลับขึ้นมาอีกครั้งในวันต่อๆ มา คุณจะสังเกตเห็นถึงปริมาณการซื้อขายของหุ้นไม่สูงเหมือนตอนช่วงเริ่มต้นของการเกิดแนวโน้ม

กลายเป็นว่า หุ้นตัวนี้ยากที่จะซื้อไปแล้ว

หากหุ้นเป็นไปตามลักษณะดังกล่าว การเคลื่อนที่ของราคาจะเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าช่วงก่อนหน้า หุ้นตัวนั้นสามารถทะลุจุดสูงสุดเดิมจาก 60 เหรียญไปที่ 68 หรือ 70 เหรียญอย่างง่ายดาย โดยที่ไม่พบการสะท้อนอย่างปกติเหมือนที่เคย

เมื่อการสะท้อนแบบปกติเกิดขึ้น การย่อตัวของหุ้นสามารถเกิดได้อย่างรุนแรง มันสามารถลงไปถึง 65 เหรียญ และยังนับว่าเป็นการสะท้อนอย่างปกติ อย่างไรก็ตาม ให้สันนิษฐานว่าการสะท้อนที่ห้าเหรียญหรือประมาณนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกหลายวันก่อนที่หุ้นจะฟื้นตัวและขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง นี่คือที่ที่ “ปัจจัยทางเวลา” เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่าปล่อยให้ตัวหุ้นทำให้คุณรู้สึกไม่ดี หลังจากที่ได้กำไรจำนวนมาก คุณต้องรู้จักอดทน แต่อย่าให้ความอดทนของคุณนั้นสร้างกรอบความคิด จนมองข้ามสัญญาณอันตราย

หุ้นตัวนั้นเริ่มต้นทะยานขึ้นมาอีกครั้งและมันพุ่งสูงขึ้นกว่าหกหรือเจ็ดเหรียญภายในวันเดียว ตามด้วยการขึ้นแปดถึงสิบเหรียญในวันต่อมาซึ่งดูเหมือนจะเป็นพฤติกรรมที่ดี แต่ในช่วงชั่วโมงสุดท้ายของตลาดซื้อขายที่ฉับพลัน หุ้นมีการย่อตัวที่ผิดปกติถึงเจ็ดหรือแปดเหรียญ เช้าวันต่อมาการย่อตัวยังคงดำเนินต่อไปและหลังจากนั้นหุ้นได้ฟื้นตัวขึ้นมาและปิดวันอย่างแข็งแกร่ง แต่วันต่อมาราคาไม่สามารถเคลื่อนที่ขึ้นไปต่อได้

นี่คือสัญญาณอันตราย

การเคลื่อนไหวของหุ้นในช่วงขาขึ้นไม่ได้มีอะไรผิดปกติ เป็นเพียงการเคลื่อนที่ขึ้นและสะท้อนกลับของราคา จากนั้นการสะท้อนที่ผิดปกติอาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน คำว่า ”ผิดปกติ” ของผมหมายถึงการสะท้อนกลับของราคาจากจุดสูงสุดถึงหกเหรียญหรือมากกว่านั้น “ภายในวันเดียว” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อสิ่งผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นกับตลาดหุ้น มันได้ส่งสัญญาณเตือนอันตรายที่คุณไม่ควรมองข้าม

คุณต้องมีความอดทนที่จะอยู่กับหุ้นตลอดช่วงที่หุ้นวิ่งขึ้นไปอย่างปกติ มีความกล้าหาญและไหวพริบที่ดีที่จะยำเกรงต่อสัญญาณอันตรายและก้าวออกมา

ผมไม่ได้บอกว่าสัญญาณอันตรายเหล่านี้จะถูกต้องเสมอไป อย่างที่ผมเคยบอกเอาไว้ ไม่มีกฎข้อไหนสามารถรับมือกับความผันผวนของหุ้นได้แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าคุณใส่ใจกับมันอย่างสม่ำเสมอ ในระยะยาวคุณจะทำกำไรได้อย่างมหาศาล

นักเก็งกำไรอัจฉริยะท่านหนี่งเคยบอกกับผมว่า

“เมื่อผมเจอกับสัญญาณอันตราย ผมจะไม่ค้านกับสัญญาณที่เกิดขึ้นแล้วขายหุ้นออกมา หลังจากนั้นหากทุกอย่างดูปกติ ผมสามารถกลับเข้าไปอีกครั้งได้ทุกเมื่อ ด้วยการทำแบบนี้ มันช่วยให้ผมไม่ต้องกังวลและเสียเงินโดยใช่เหตุ นี่เป็นทางที่ผมค้นพบ เปรียบเหมือนกับผมเดินอยู่บนรางรถไฟแล้วเห็นว่ารถไฟด่วนกำลังวิ่งมาหาผมด้วยความเร็วหกสิบไมล์ต่อชั่วโมง ผมคงจะโง่แน่ๆ ถ้าผมไม่ลงจากรางแล้วปล่อยให้รถไฟผ่านไป แล้วเมื่อรถไฟผ่านไป ผมสามารถกลับขึ้นไปอีกครั้งได้ตลอดเวลาที่ผมต้องการ ผมมักจะจดจำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นเสมือนกับภาพที่เตือนใจสำหรับการเก็งกำไรเสมอ

น่าแปลกใจที่อุปสรรคของนักเก็งกำไรส่วนใหญ่คือบางสิ่งภายในตัวพวกเขา ที่ทำให้ไม่สามารถรวบรวมความกล้ามากพอที่จะขายหุ้นทั้งหมดเมื่อถึงเวลาจำเป็น พวกเขาจะเกิดความลังเลและช่วงเวลาแห่งความลังเลนั้น พวกเขามองดูตลาดวิ่งไปในทิศทางตรงข้ามกับเขาหลายจุด จากนั้นพวกเขาจะพูดว่า “ผมจะตัดสินใจขายเมื่อราคากลับขึ้นมารอบหน้า” เมื่อการขึ้นของราคารอบต่อไปมาถึง แน่หละ มันมาถึงในที่สุด แต่พวกเขาอาจลืมสิ่งที่ตั้งใจจะทำ เพราะในความคิดเห็นของคนเหล่านั้นคือตลาดกลับมาดีอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การขึ้นของราคาในครั้งนี้เป็นเพียงแค่การเหวี่ยงขึ้นมาชั่วคราวก่อนที่มันกำลังจะสิ้นสุด หลังจากนั้นตลาดอาจเริ่มตกลงจริงจัง สุดท้ายแล้ว พวกเขาติดอยู่ในนั้นเนื่องจากความลังเลของตัวเอง ถ้าพวกเขาทำตามคำแนะนำ จะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่แค่การป้องกันเงินของพวกเขาเท่านั้นแต่ยังช่วยขจัดความกังวลที่จะเกิดขึ้นกับตัวพวกเขาเองด้วย

ผมขอพูดอีกครั้ง ความเป็นมนุษย์ของทุกคนคือศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรทั่วไป ทำไมหุ้นไม่ควรที่จะฟื้นตัวหลักจากที่มันเริ่มตกจากการขึ้นรอบใหญ่ แน่นอนว่ามันจะฟื้นกลับมาที่ระดับใดระดับหนึ่ง แต่ทำไมจึงตั้งความหวังว่าหุ้นจะฟื้นกลับขึ้นมาในเวลาที่คุณต้องการ โอกาสมันอาจมาไม่ถึงก็ได้และถึงแม้ว่ามันจะเกิดขึ้น นักเก็งกำไรที่ลังเลอาจไม่สามารถหาประโยชน์จากมันได้

นักเก็งกำไรที่ฉลาดทุกคนจะเตรียมพร้อมกับสัญญาณอันตรายเสมอ