การดูสภาวะตลาดโดยรวมในตลาดหุ้น

– การดูสภาวะตลาดโดยรวมในตลาดหุ้น by Humble Trader Diary –

บทความนี้จะมาแชร์เกี่ยวกับการดูสภาวะตลาดเบื้องต้นของตลาดหุ้นในแบบของผมนะครับ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นวิธีที่คิดเอง ก็ศึกษาชาวบ้านเขามาแล้วก็เอามาทำให้มันเหมาะกับตัวเอง คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่าน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเริ่มเล่นหุ้นเพราะมันค่อนข้างเบสิคมาก ลองอ่านดูนะครับ

จริงๆแล้วการดูสภาวะตลาดมันมีมากมายร้อยแปด แต่ผมจะยกหลักในการดูสภาวะตลาดเบื้องต้นมาแชร์เป็นหลักการง่ายๆ 2 วิธีคือ

วิธีแรก การดูสภาวะตลาดโดยใช้เส้น Moving Average โดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยง่ายๆ 2-3 เส้น เนื่องจากฟังจาก Fahmy และ Minervini ทั้ง 2 คน live แล้วพูดวิธีนี้บ่อยๆ ลองเอามา adapt แล้วเอามาแชร์ครับ

วิธีที่สอง The CANSLIM market stage การกำหนดสภาวะแบบ CANSLIM วิธีนี้หลายคนน่าจะเคยอ่าน วิธีนี้พัฒนาโดย Bill O’Neil 

มาเริ่มวิธีแรกก่อนก็คือ การดูสภาวะตลาดจากเส้นค่าเฉลี่ยหรือ Moving Average

ฝรั่งที่ผมศึกษามาจะใช้ SMA หรือไม่ก็ WMA นะครับ แต่ส่วนตัวผมฝึกกับการใช้ EMA มาตลอดก็เลยปรับมาใช้ EMA

เราจะดูกัน 2 Timeframe นะครับ คือ
1. Timeframe Week จะใช้ MA 10 และ 40
2. Timeframe Day จะใช้ MA 10, 50 และ 200

เกริ่นก่อน ผมเคยพูดไว้นิดหน่อยเกี่ยวกับตัวตลาดเองในบทความก่อนๆ ดัชนีต่างๆ เช่น NASDAQ DOW RUSSEL S&P500 หรือ SET ก็จะเป็นดัชนีของแต่ละตลาด โดยที่หุ้นส่วนใหญ่ (80-90%) ในตลาดจะแสดงพฤติกรรมคล้ายๆกับดัชนีที่มันอยู่ เช่นถ้าตลาดเป็นขาลง หุ้นโดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นขาลง ถ้าตลาดเป็นขาขึ้น หุ้นโดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นขาขึ้นและคนที่ long หุ้นไว้ก็จะเล่นค่อนข้างง่าย ฉะนั้นเราก็สามารถใช้ Moving Average ที่ส่วนใหญ่เราใช้กับหุ้น มาใช้กับตัวตลาดได้เช่นกันครับ

เริ่มที่ TF Week ก่อน กางภาพออกมาใหญ่ๆ เราจะใช้เส้น EMA 10W และ 40W มากำหนดสภาวะง่ายๆ EMA10W จะเป็นตัวแทนของเส้นค่าเฉลี่ยระยะกลาง และเส้น EMA40W จะเป็นตัวแทนของเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว ถ้าตลาดดำเนินไปโดยอยู่เหนือเส้น 10 และ เส้น10 อยู่เหนือเส้น 40 ตลาดจะอยู่ในสภาวะที่การเล่นหุ้นจะค่อนข้างง่าย เพราะหุ้นส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในภาวะขาขึ้นเช่นเดียวกับตลาด ถ้าใครถือ Leading stock อยู่ก็จะได้กำไรค่อนข้างดี เส้น MA10W ฝรั่งเขาจะชอบเรียกกันว่าเส้น institutional buy คือเส้นที่พวก big player หรือกองใช้ในการตัดสินใจ ซื้อ ขาย ในการเทรดระยะกลาง (โดยส่วนตัวผมไม่ได้สนว่าใครจะซื้อจะขายแค่ใช้เป็นจุดสังเกตพฤติกรรมราคาเฉยๆ) ถ้าเส้น EMA10W ยังมีการรับอยู่ก็ยังถือว่า Ok แต่ถ้าตลาดเริ่มหลุด EMA10W เราจะต้องเริ่มระวังตัวและเริ่มพิจารณาลดพอร์ตการลงทุน และลด activity การซิ้อหุ้นเพิ่มถ้าหุ้นตัวนั้นไม่ได้แข็งแกร่งจริงๆ สำหรับคนที่เล่นพวก short หรืออะไรก็เริ่มหาหุ้นที่จะเล่นสำหรับขาลงง่ายขึ้น แล้วถ้าตลาดหลุดเส้น EMA40W ที่เป็นตัวแทนของเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาวอันนี้เราไม่ควรมีหุ้น เพราะหุ้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นขาลงชัดเจน

ผมไม่ชัวว่าเส้น 40W (200 day) มันนิยมมาจากไหน แทบทุกคนใช้ อาจจะเป็นเพราะ Paul Tudor Jones ที่สัมภาษณ์ไว้ว่าเขาใช้ MA200 ในการหลบ Market Crash ในช่วงปี 1987 (จริงๆไม่ใช่แค่หลบ แกทำเงินได้มากมายจากการ Short ครั้งนั้นเลย) คนเลยค่อนข้างใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งช่างมันครับ เอาเป็นว่าเราสามารถใช้ 40W มาเป็นจุดสังเกตได้ หลายๆท่านจะบอกว่า แค่คุณไม่มีหุ้นตอนตลาดเริ่มหล่นลงไปต่ำกว่า 40W คุณก็เพิ่มโอกาสการอยู่รอดในตลาดหุ้นได้เยอะแล้ว

ถ้าตลาดหลุดทั้ง MA10W และ MA40W เราควรจะหุ้นให้น้อยหรือไม่มีเลย เพื่อป้องกันไม่ให้พอร์ตเสียหาย ผมว่าหลักการนี้เหมาะกับคนที่เล่นหุ้นแบบ Swing หรือ Trend แต่ไม่เหมาะกับสาย Value เพราะช่วงตลาดพังน่าจะเป็นโอกาสทองที่จะซื้อหุ้นพฐดี ในราคาถูก

โดยส่วนใหญ่ถ้ามันเกิดเหตุการณ์ที่ตลาดมันแหก 10W และ 40W คนที่ถนัดเล่นฝั่ง short ก็จะหาโอกาสเล่นได้ แต่โดยส่วนตัวผมจะหยุดหรือเล่นลดลง เอาเวลาไป Develop ส่วนอื่นแทนนอกจากการซื้อๆขายๆ

แล้วพอตลาดเริ่มกลับมายืน 10W และ 40W ก็จะเริ่มเพิ่มพอร์ตขึ้นมาเรื่อยๆในตัวที่ทำการบ้านมา

ใน TF Day ก็ใกล้เคียงกัน EMA10 50 200

50D และ200D ก็จะคล้ายคลึงกับ 10W และ40W แต่รายละเอียดเยอะกว่า

ถ้าตลาดวิ่งเป็นเทรนด์เหนือ MA10D 50D และ200D ช่วงนี้เรียกว่าตลาดแจกเงิน เล่นง่ายมากคือในตลาดแทบทุกคนจะได้เงินหมด เราจะเห็นการโชว์พอร์ตหน้าเฟสเต็มไปหมด โดยส่วนใหญ่คนที่ไม่มีประสบการณ์ในตลาดแล้วได้ตังก็จะมาจากช่วงนี้แหละครับ ถ้าเราสังเกตเห็นตลาดเป็นเทรนด์ชัดแบบนี้ก็อย่าพลาด

อันนี้ง่ายใช่มั้ยครับ สิ่งที่ผมอยากให้ลองไปทำคือ นั่งดูกราฟของตลาดไล่ไปซัก 10-20 ปี และลองดูพฤติกรรมของหุ้นแต่ละตัวตอนที่ตลาดเริ่มเปลี่ยนสถานะว่าเป็นยังไงเราจะพอได้ไอเดียครับ

วิธีต่อไปเป็นวิธีการดูสภาวะตลาดของสาย CANSLIM ที่ Bill O’Neil พัฒนาขึ้นมาจากการวิเคราะห์ตลาด DJIA, NASDAQ, S&P500

ตลอดช่วง 100 ปีที่ผ่านมาเพื่อหาจุดกลับตัวจากตลาดขาขึ้นเป็นขาลง และจากตลาดขาลงเป็นขาขึ้น เพราะใช้เป็นข้อได้เปรียบในการซื้อหุ้นและขายหุ้น องค์ความรู้นี้เบื้องต้นคุณสามารถหาอ่านได้จากหนังสือ How to make money in stock หรือเว็บของทาง IBD เอง หลักการนี้หลายๆท่านก็นำไปพัฒนาต่อในแบบที่เข้ากับตัวเอง แบบที่ผมใช้ผมก็ปรับเปลี่ยนนิดหน่อยเช่นกันเพื่อให้มันเข้ากับผม แต่ที่เสนอวันนี้ก็จะเป็นตัว Official ต้นแบบเพื่อเอามาให้เห็นไอเดียนะครับ

ก่อนที่จะเข้าถึงตัวหลักการ ผมขอพูดถึงเบื้องหลังของการ Develop หลักการพวกนี้ก่อน
Bill O’Neil เริ่ม Career ช่วงปี 1958-60 โดยการเป็น Broker ที่ Hayden, Stone & Company (หลายๆคนอาจคุ้นโบรคนี้จากการที่ Richard Donchian ก็เป็น Director of Commodity Research ของที่นี่เช่นกันในยุคนั้น) ช่วงที่โอนีลเติบโตเขาจะได้รับอิทธิพลจากเทรดเดอร์อย่าง Livermore, Baruch, Dreyfus และ Loeb ซึ่งทั้ง 4 คนจะพูดถึงการจับจังหวะตลาด และการป้องกันเงินทุนหรือหนีจากตลาดขาลงเป็น Key สำคัญในการอยู่รอดในตลาด

Bill ก็เลยพยายามหาวิธีจับจังหวะตลาดบ้างเพื่อนำมาใช้ในโมเดลการลงทุนของตัวเอง สิ่งที่เขาทำก็คือการตรวจประวัติศาสตร์ของตลาดในช่วงที่ตลาดกลับตัวทั้งขาขึ้นและขาลงเพื่อหาพฤติกรรมร่วมกันแล้วนำมาใช้ประโยชน์ในการคาดการณ์ตลาด พอเวลาผ่านไปวิทยาการคอมมันพัฒนาขึ้นเขาก็เริ่มวิจัยออกมาเป็น system แล้วเขียนลงมาใส่หนังสือ How to make money in stock และเว็บ IBD ให้เราอ่าน สิ่งสำคัญของหลักการนี้ไม่ใช่การคาดการณ์ที่ถูกต้องแม่นยำ 100% แต่เป็นการบอกให้คุณเฝ้าระวังหรือเตรียมตัวสำหรับการกลับตัวของตลาดเพื่อเปลี่ยนแผนหรือดำเนินกลยุทธตามที่วางไว้

หลักการ “M” หรือ Market ใน “CANSLIM” เราจะต้องทราบคำศัพท์อยู่หลักๆ 3 คำ คือ
Follow-Through Day (FTD), Attempted rally หรือ First day (1st) และ Distribution day (DD)

FTD และ 1st จะใช้ในการจับจังหวะจากตลาดที่เป็นขาลงเปลี่ยนมาเป็นขาขึ้น

FTD คือ วันที่ตลาดหุ้นบวก(ขึ้น) 1% หรือมากกว่านั้นภายในวันเดียวโดยที่ปริมาณการซื้อขายมากกว่าวันก่อนหน้า โดยปกติแล้ว FTD จะเกิดหลังจาก 1st มากกว่า 4 วันขึ้นไป

1st คือ ตอนที่ตลาดเป็นขาลง แล้วมีอยู่วันนึงที่มีการยื้อของตลาดโดยที่ตลาดไม่ลงต่อ 1st เกิดก่อน FTD แต่ที่ผมนำมา FTD ขึ้นก่อนเพราะ เราจะรู้ว่าวันไหนเป็น 1st เราจะต้องเห็น FTD ก่อน

การที่เกิด FTD จะมีความน่าจะเป็นที่ตลาดจะเปลี่ยนสถานะจากตลาดขาลงเป็นตลาดขาขึ้นรอบใหม่ ฝรั่งหรือคนที่ใช้มักจะบอกว่าการเกิด FTD ตลาดไม่จำเป็นจะต้องเป็นขาขึ้นเสมอไป แต่ทุกตลาดขาขึ้นจะต้องมี FTD เกิดขึ้นเสมอ

เวลาที่ใครเอาหลักการนี้ไปใช้ อย่าพยายามคิดให้เป็นขาวกับดำ คือตลาดมันต้องขึ้นหรือลง สิ่งที่เราต้องทำคือสังเกตพฤติกรรมของมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วดูตัวหุ้นรายตัวอีกทีว่าเป็นยังไง ถ้าตลาดเริ่มกลับตัวก็ค่อยๆเพิ่ม Position ขึ้นไป ผมมักจะมองFTD เป็นเหมือนกระแสลม หรือกระแสน้ำซะมากกว่า คือ ถ้า FTD เกิดผมจะมองว่ากระแสลมเริ่มหนุนหลังเรา ช่วยส่งเสริมให้เราเคลื่อนที่ได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าหุ้นไม่มีตัวที่เข้า criteria เลยผมก็จะไม่ได้ทำอะไร

เปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้นแล้ว ต่อไปเป็นส่วนของตลาดกลับทิศจากขาขึ้นเป็นขาลงบ้าง

Distribution Day หรือ DD คือวันที่ตลาดหุ้นตกลงมากกว่า 0.2% และมีปริมาณหุ้นมากกว่าวันก่อนหน้า แค่นี้เลย จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอย่าง Stalling day ผมแนะนำให้ลองไปหาอ่านหรือทำการบ้านเพิ่มจากในหนังสือดูนะครับ

เมื่อทดสอบ DD จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแล้วพบว่า เมื่อ DD เกิดขึ้นเยอะใน4-5 สัปดาห์ จะพบว่าตลาดจะขึ้นมาใกล้จุดสูงสุดและพร้อมกลับตัวเป็นขาลงแล้ว

การกำหนดสภาวะตลาดใน CANSLIM ก็จะมีอยู่ 3 สภาวะคือ

  • Market Uptrend ก็คือมี FTD เกิดขึ้น
  • Market Uptrend Under pressure ตลาดยังเป็นขาขึ้นแต่ตลาดอยู่ในช่วงเฝ้าระวัง คือ เกิด 4dd ในช่วง 4-5 สัปดาห์ ช่วงนี้ให้เราเริ่มลดพอร์ตโดยเฉพาะหุ้นที่เกิดการอ่อนตัว
  • Market in Correction หรือ Downtrend ตลาดเริ่มกลับตัวเป็นขาลงคือ เกิด DD ตั้งแต่ 5 ครั้งขึ้นไปในรอบ 4-5 สัปดาห์ ช่วงนี้ให้เราเริ่มขายหุ้นออกและเลี่ยงการซื้อหุ้นใหม่

หลักการนี้ผมเริ่มลองเอามาปรับใช้ในตลาดไทย แล้วค่อนข้างโอเคครับ โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นหนักๆแล้วเกิด DD ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ต่อไปเป็นช่วงของการนำหลักการพวกนี้ไปใช้จริง เพราะถ้าเราเอาหลักพวกนี้ไปใช้จริงไม่ได้ก็แทบไม่มีประโยชน์เลยครับ ผมจะยกตัวอย่างการนำไปใช้แบบง่ายๆ เพื่อให้คนใหม่ๆลองเอาไปเป็นไอเดียและนำไปประยุกต์เพื่อให้เข้ากับตัวเองนะครับ

เกริ่นหน่อยคือผมเป็นคนนึงที่เชื่อเหมือนกันว่า เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในหุ้นตลอดเวลาเพื่อที่จะทำตัง แต่เราควรจะหาช่วงที่เหมาะสมต่อกลยุทธ์ของเราแล้วทำเงินในช่วงนั้น และเล่นเกมป้องกันในช่วงที่ตลาดไม่เอื้อต่อกลยุทธ์แล้วนำแรงและเวลาที่เราโฟกัสในหุ้นไปโฟกัสในเรื่องอื่นหรือ develop ตัวเองเพื่อรอเล่นหุ้นในรอบต่อไป

ผมมักจะชอบลองเปรียบหุ้นในพอร์ตกับถ่านแบตเตอรี่ คือถ้าสภาวะตลาดมันเข้าทางหรือเป็นขาขึ้นและผลงานที่ผ่านมามันดีผมก็จะมีหุ้นให้เต็มพอร์ตพร้อมกับวิธีเล่นแบบนึง หรือชาร์จไฟให้เต็มแบตเลยพร้อมลุย

ส่วนถ้าตลาดเริ่มไม่เลือกทางและฟอร์มการเล่นเริ่มไม่ดี ผมก็จะผ่อนเกมชาร์จไฟไม่เต็มแบต หรือถือหุ้นไม่เต็มพอร์ตครับ เพราะรู้ว่าสภาวะแวดล้อมมันไม่เอื้อ

จริงๆแล้วมันคือการปรับ Exposure ของพอร์ต แต่ผมไม่รู้จะพูดออกมาให้เป็นไทยยังไง เรื่องพวกปรับพอร์ต เพิ่มพอร์ต ลดพอร์ต พี่ๆที่เขาเก่งๆ หรือเทรดเดอร์ที่เล่นหุ้นเมืองนอกเก่งๆจะทำเรื่องพวกนี้ได้เนียนมาก ซึ่งผมก็อยู่ในช่วงที่ต้องพัฒนาเรื่องพวกนี้อย่างหนักเช่นกัน

สิ่งต่อมาก็คือการนำหลักการที่ได้แชร์ไว้ 2 หลักการมาผสมเพื่อให้เราสามารถนำมาใช้ได้นะครับ ที่จะยกตัวอย่างคือแบบที่ผมใช้แค่เอามาทำให้เห็นภาพ วิธีนี้เป็นวิธีเบื้องต้นที่ชาวบ้านมาก ไม่ถูกหลักการใดๆ คือ เราจะกำหนด Score ให้มันก่อน ที่ผมกำหนดไว้คือ

สถานะMarket แบบ CANSLIM
Uptrend =10 คะแนน, Market Uptrend Under pressure = 8 คะแนน, Market in Correction = 6 คะแนน

ใช้ EMA ดูสถานะตลาด TF Week
ตลาดอยู่เหนือ EMA10 +40 = 10 คะแนน, ตลาดอยู่เหนือ EMA40 = 8 คะแนน, ตลาดอยู่เหนือ EMA10 = 6 คะแนน, ตลาดต่ำกว่าทั้ง EMA10 +40 = 4 คะแนน

จากนั้นนำปัจจัยทั้ง 2 มาคูณกันในทุกสถานการณ์แล้วปัดเศษให้ลงเลข 0 และเลข 5 (ตารางที่ 2) เราจะได้ Optimum Exposure หรือ %เงินที่เหมาะสมที่เราจะใช้ซื้อหุ้น

จากตารางที่ 2 พบว่าถ้าตลาดเป็นสถานะ Uptrend แบบ IBD แล้วตลาดอยู่เหนือ EMA10+40 เราจะสามารถมีหุ้นได้ 100%เลย แต่ถ้าตลาดเริ่มไม่เอื้อ เช่น ตลาดเป็น Downtrend และอยู่เหนือแค่เพียงเส้น EMA40 ปริมาณเงินที่เหมาะสมที่เราควรอยู่ในหุ้นก็จะเหลือ 50% อีก 50%ก็จะเป็นการถือเงินสด หรือใครจะเอาไปใช้เล่นกลยุทธ์อื่นหรือสินค้าอื่นก็แล้วแต่

สิ่งที่ผมอยากให้นำไปคิดก็คือเรื่องของ Performance ของตัวเรา ในที่นี้ (ตารางที่ 3) ผมจะดูจากการเทรด 10 ครั้งหลังสุดว่าเราทำผลงานเป็นอย่างไร ถ้าเทรดได้ดี คือชนะมากกว่า 6ใน10 ครั้ง เราจะได้ 20 แต้ม ถ้าตลาดไม่เอื้อเช่นตลาดให้เราเล่นแค่ 50% ของพอร์ต แต่เราผลงานดีก็ให้เอาแต้มตรงนี้ไปใส่จะกลายเป็นเราเล่นได้ 70% พอร์ต แต่ถ้าตลาดเริ่มดีแบบสามารถถือหุ้นได้ 80% แต่ผลงานเราแย่มากๆ เราก็ควรที่จะลดพอร์ตในการเล่นก่อน จนกว่าคุณจะคืนฟอร์มแล้วค่อยเพิ่มจำนวน ผมไม่ชัวว่าตามหลักสากลเรียกวิธีนี้ว่า Anti martingale รึเปล่า ช่างมัน เอาเป็นว่าถ้าเราเทรดดีเราควรได้เทรดเพิ่ม และถ้าเทรดแย่เราควรลด Position จนเราสามารถพิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่าเริ่มทำเงินได้ค่อยเพิ่มเงิน

สัดส่วนนี้ผมคิดมาแบบโง่ๆ เอาง่ายนะครับ จริงๆ ถ้าเอาไปใช้ก็คิดวิธีที่มันซับซ้อนในการให้คะแนนตัวเองหน่อย

พออ่านแล้วบางคนจะรู้สึกว่า จะอะไรหนักหนา ก็ลงเงินจัดเต็มไปเดี๋ยวก็ได้เอง ถ้าตลาดไม่ดีแล้วเหลือให้เล่นแค่ 30% จะเอาอะไรแดก สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือการผ่อน Exposure มันโดนคิดขึ้นมาเพื่อใช้ในการป้องกันเราจากตลาดที่ไม่เอื้อต่อวิธีของเรา ถ้าคุณคิดว่าเทรดได้ดีทำเงินได้ ก็พิสูจน์สิ ค่อยๆเริ่มจาก Position เล็กๆ เอากำไรมาต่อยอด เพื่อเพิ่ม Position ทีหลังก็ได้หรือถ้า Performance ดี เราก็ได้รับคะแนนจากค่า Performance ไปขยาย Position แต่ถ้าเล่น 30% แล้วพอร์ตคุณยังแกว่ง ยังเสียเงินอยู่ คุณคิดว่าเล่น 100% คุณจะได้เงินเหรอ?

อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรจะปรับคือ วิธีการเทรดหุ้นในแต่ละสถานะ โดยวิธีเลือกหุ้นแล้วอาจจะไม่เปลี่ยน เช่น หุ้นแกร่งกว่าตลาด หุ้นซิ่ง หุ้นพฐดี

แต่การปรับ Risk/Reward หรือระยะการถือหุ้นอาจจะเปลี่ยน

ผมขอยกตัวอย่างมา 3 แบบ โดยการนำ % จาก Exposure มากำหนดวิธีเล่น

ตอนที่ Exposure ประมาณ 25%-35% ก็คือช่วงตลาดไม่เอื้อ เราก็ปรับการ Take Profit มาเป็น Short Term มากขึ้น เช่นขายหุ้นส่วนนึงเมื่อ 10%-15% แล้วส่วนอื่นก็รันหุ้นด้วย EMA ระยะสั้น และปรับ Risk ให้ Cut loss สั้นลงตามความเหมาะสม เป็นต้น

ถ้าตลาดมี Exposure ประมาณ 50%-70% ก็จะใช้อีกแบบคือ ส่วนนึงเล่น short term ส่วนนึงถือระยะกลาง และมีส่วนนึงไว้เล่นระยะยาวหน่อย

ถ้าตลาดเอื้อเรามากๆ Exposure เกือบหรือเต็มพอร์ต ก็ใช้การเล่นระยะยาวๆเป็นหลัก โดยอาจมีส่วนนึงมาเล่นระยะสั้นบ้างระยะกลางบ้าง

วันนี้ก็มีเรื่องมาแชร์ประมาณนี้ เป็นวิธีเบื้องต้นมากๆ จริงๆแล้วการดูสภาวะตลาดหุ้นมันมีโคตรเยอะเลยครับ แบบอื่นที่ผมชอบดูก็จะเป็นการดูจำนวนหุ้น 52W high/low ตามสูบจากเพจ PK Diary เอา หรืออย่างที่เพจ Wizard Kid ก็มีวิธีการดูจำนวนหุ้นที่อยูในช่วง Bullish

ค่อยๆศึกษาไปแต่ละ Model แล้วใช้หลายๆองค์ประกอบมาผสมกัน สิ่งสำคัญคือเราถนัดและเหมาะจะใช้อะไรมากกว่า หามันให้เจอและนำมาใช้ประโยชน์ ขอทิ้งท้ายบทความด้วยคำพูดของ THE GREAT BEAR OF WALL STREET ครับ

I wish deliberately to reiterate it, is that wishful thinking must be banished; that one cannot be successful by speculating every day or every week; that there are only a few times a year, possibly four or five, when you should allow yourself to make any commitment at all. In the interims you are letting the market shape itself for the next big movement.

ฝากกด Like กด Share หรือ Comment เพื่อเป็น Feedback ให้ผมพัฒนาการเขียนของผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ


Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *