The CANSLIM Chart Reading: Cup-With-Handle

– The CANSLIM Chart Reading: Cup With Handle by Humble Trader Diary –

วันนี้ผมจะมาแชร์เกี่ยวกับการอ่านฐานราคาเบื้องต้นของ Cup-With-Handle Base (CWH) หรือฐานราคารูปถ้วยและหูจับ อย่างที่คนไทยรู้จักกัน เนื่องจากคิดว่าข้อมูลที่ผมอ่านในไทยส่วนใหญ่จะแชร์มาจากหนังสือ “CAN SLIM คัดหุ้นชั้นยอด ด้วยระบบชั้นเยี่ยม หรือ How to Make Money in Stocks” ของ William J. O’Neil ที่ทางสำนักพิมพ์เอ็นซิกซ์เป็นผู้แปลและเผยแพร่เป็นหลัก ผมก็เลยจะมาลองแชร์สิ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับฐาน ราคา CWH จากแหล่งข้อมูลอื่นดูบ้างครับ

กราฟฐานราคา CWH ได้รับการเผยแพร่ในโลกของตลาดทุนมาจากหลายแหล่งมาก แต่หนึ่งในองค์ความรู้ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายคือแนวคิดของวิลเลียม โอนีล หนึ่งในพ่อมดตลาดหุ้น และผู้ก่อตั้งบริษัท Investor’s Business Daily (IBD)

โอนีลประสบความสำเร็จในการเทรดหุ้นอย่างมากในช่วงปี 60’s ด้วยกลยุทธการลงทุนที่พัฒนาขึ้นที่ชื่อว่า “CANSLIM” ระบบที่ผสมผสานระหว่างการมองปัจจัยพื้นฐานควบคู่ไปกับการอ่านอุปสงค์/อุปทานและมุมมองตลาด หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โอนีลได้เผยแพร่ระบบการลงทุนของตัวเขาเองผ่าน William O’Neil + Company, Daily Graphs(MarketSmith), IBD และในปี 1988 โอนีลได้รวบรวมองค์ความรู้และประสบการณ์ของเขาเขียนลงในหนังสือ How to Make Money in Stocks: A Winning System in Good Times or Bad หนังสือเล่มนี้ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมากว่าเป็นหนึ่งในหนังสือที่สอนเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นเติบโตที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งติดอันดับ The National Bestseller ที่ขายได้มากกว่า 2 ล้านเล่มทั่วโลก

สิ่งหนึ่งที่โอนีลมักจะทำเป็นประจำคือการศึกษาประวัติศาสตร์ของตลาดทุน และพบว่ารูปแบบที่เกิดขึ้นกับหุ้นผู้ชนะในประวัติศาสตร์ มักจะทำรูปแบบราคาคล้ายๆกัน ซึ่งรูปแบบที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด คือรูปแบบฐานราคา CWH เช่น Microsoft, Nike, Home Depot, Chipotie Mexican Grill, Nvidia, Coca-Cola, Xerox และอื่นๆอีกเยอะมาก รวมถึงหุ้นผู้ชนะหลายๆตัวในตลาดหุ้นไทยด้วย ฉะนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อเรามากถ้าเราศึกษามันด้วยความเข้าใจ เพราะสุดท้ายแล้วรูปแบบฐานราคานี่ก็จะวกกลับมาใหม่ ดังคำที่คนเคยกล่าวไว้ว่า “History Repeat itself”

จากที่ผมได้อ่านตามจากแหล่งโซเชียลในไทยหลายแหล่งๆ เทรดเดอร์หลายๆคนมักให้ความสำคัญในการใช้รูปทรงของกราฟในการตัดสินใจเข้าซื้อเป็นหลัก เช่น ตัวนี้ทรงHead and Shoulder, ตัวนี้เบรค 3 เหลี่ยม, กราฟนี้เบรคหูถ้วย เป็นต้น แต่ในทางสายของการเทรดแบบ CANSLIM มักให้ความสำคัญกับองค์ประกอบโดยรวมของฐานราคาและคุณภาพของฐานราคาควบคู่ไปกับรูปทรงของกราฟด้วย ซึ่งวันนี้จะมาแชร์ในแง่มุมนี้เป็นหลักนะครับ

ฐานราคา CWH มีรูปทรงของกราฟคล้ายกับถ้วยที่มีหูจับ โดยมีลักษณะเป็น bullish continuation pattern หรือ กราฟที่เป็นเทรนด์ขาขึ้นมาก่อน, เกิดการสร้างฐานราคาและดำเนินไปในทิศทางเดิม

โดยที่ 80-90% ของฐานราคาถ้วยและหูจับมักเกิดขึ้นในช่วงตลาดขาลงหรือตลาดเริ่มปรับฐาน ฟอร์มตัวเป็นเป็นฐานราคาประมาณ 7-65 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับ Sentiment ตลาดและตัวหุ้นเอง) จากนั้นเมื่อตลาดขาลงสิ้นสุด หุ้นพวกนี้จะทะยานขึ้นทะลุทำจุดสูงสุดใหม่ เหมือนกับสปริงที่หลุดจากแรงกดทับเป็นระยะเวลานาน

ฐานราคา CWH เราจะดูจาก Timeframe Week เป็นหลัก และใช้ Timeframe Day เป็นการดูรายละเอียดปลีกย่อย โดยองค์ประกอบหลักของประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ

1. เทรนด์ขาขึ้นก่อนฐานราคา

2. ฐานราคาในส่วนของถ้วย

3. ฐานราคาในส่วนของหูจับ

    เทรนด์ขาขึ้นก่อนฐานราคา

    อย่างที่เกริ่นในตอนแรก ฐานราคา CWH มีลักษณะเป็น bullish continuation pattern ฉะนั้นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของฐานราคา คือเทรนด์ขาขึ้นก่อนการเกิดฐานราคา โดยที่ก่อนการเกิดฐาน CWH นั้น หุ้นจะต้องเป็นลักษณะเป็นเทรนด์ขาขึ้นมาก่อนประมาณ 30% ขึ้นไป และกินระยะเวลามากกว่า 2-3 เดือน David Ryan หนึ่งในพ่อมดตลาดหุ้น เคยกล่าวไว้ในงานสัมนาของ IBD ปี 2017 ว่าหุ้นที่เขาจะเข้าเทรดแทบทั้งหมดจะต้องเป็นหุ้นที่มีเทรนด์ขาขึ้นระยะยาว 50 % ขึ้นไปก่อนที่เขาจะเข้าหรือถ้าให้ดีก็เป็นหุ้นที่ขึ้นไปเป็นเด้งก่อนเลย เพื่อให้แน่ใจว่าหุ้นตัวนั้นได้คอนเฟิร์มขาขึ้นแล้วแน่นอน

    และเทรนด์ขาขึ้นนั้นถ้าจะให้แข็งแกร่งจริงจะต้องอยู่เหนือ Moving Average 50 และ Moving Average 200 ในTF day ถ้าใครเคยอ่านหนังสือของ Mark Minervini เล่ม Trade Like A Stock Market Wizard ก่อนจะมีพูดถึงการกรองหุ้นที่เป็นขาขึ้นก่อนที่จะเข้าเทรดเช่นกัน ถ้าจะพูดออกมาให้เป็นรูปธรรมขึ้นอีกหน่อย Mark Minervini ได้อธิบายเรื่องนี้ออกมาได้ดีมากเช่่นกันในหนังสือ Momentum Masters โดยเปรียบการเทรดหุ้นเหมือนการเข้าร่วมงานปาร์ตี้ การเข้างานปาร์ตี้นั้นไม่ค่อยจะมีใครหรอกที่อยากจะมาถึงงานเป็นคนแรก เพราะว่าคุณจะต้องรอคนอื่นอีกนานกว่างานปาร์ตี้จะสามารถเริ่มได้ ฉะนั้นเวลาที่เราควรจะเข้าปาร์ตี้ที่สุดคือเวลาที่ปาร์ตี้มันกำลังจะเริ่มหรือเริ่มไปแล้ว ฉะนั้นในการพิจารณาเรื่องฐานราคานั้นบริเวณก่อนเริ่มของฐานราคาก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่เราจะต้องพิจารณาครับ

    • เทรนด์ขาขึ้นก่อนฐานราคาสามารถขึ้นเพียง 15-25%ได้ ถ้าเทรนขาขึ้นของหุ้นเกิดในช่วงที่เป็นตลาดขาลง และเป็นหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาดโดยรวมหรือมี Relative Strength Ranking และ Relative Strength line ที่สูง หรือเทรนขาขึ้นนั้นเป็นหุ้น Base ที่ 2 เป็นต้นไป ตามวิธีการนับ Base ของ CANSLIM

    ส่วนของฐานราคาที่เป็นรูปถ้วย

    ในส่วนของฐานราคาที่เป็นรูปถ้วย หลายๆคนที่เคยอ่านมามักจะจำเป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์ เช่นฐานย่อไม่เกิน 30% จริงๆแบบนี้ไม่ผิดเพราะจำง่ายดี แต่ที่ผมแนะนำคือเราจะต้องดูบริบทรอบข้างและสภาพตลาดโดยรวมด้วยจะดีกว่าครับ โดยที่ถ้าตลาดปรับฐานให้เราคิดออกมาเป็นรูปของเปอร์เซ็นต์แล้วเทียบกับหุ้นที่เราสนใจ โดยหุ้นที่จะมีการปรับฐานที่ดีควรมีค่าไม่เกิน 2.5 เท่าของการปรับฐานของตลาด(ยิ่งปรับน้อยกว่า 2.5 เท่ายิ่งดี แสดงว่าหุ้นแข็งแกร่ง) เช่น ตลาดรวมปรับฐาน 10% แสดงว่าหุ้นไม่ควรปรับฐานเกิน 25% แสดงว่าถ้าตลาดปรับฐานเล็กน้อยเช่น 6-7% การที่หุ้นลงไป 30-40 % มันมักจะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของฐานราคาครับ ฉะนั้นถ้าจะจำเป็นตัวเลข ก็ทำได้ แต่ลองดูสภาพตลาดโดยรวม และหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดประกอบการวิเคราะห์เบสด้วย

    ลักษณะของฐานรูปถ้วย จะเป็นลักษณะของรูปตัว U มากกว่าที่จะเป็นทรงปลายแหลมแบบตัว V (แต่เป็นรูปตัว V ก็มีโอกาสเกิดได้ถ้าตลาดมีความผันผวนสูงมาก)

    ในส่วนทางซ้ายของฐานหรือตอนช่วงที่หุ้นลง หุ้นจะลงแบบไม่แรงมากคือค่อยๆลง การลงแบบกระชากหรือลงมากๆภายในไม่กี่วัน มักจะมีความน่าจะเป็นของการจบรอบ มากกว่าการปรับฐาน

    ในส่วนก้นของฐาน Vol ของหุ้นมักจะแห้งกว่าในช่วงของขาลง และมักจะมีการรับด้วยแนวรับสำคัญหรือ รับที่ MA50/MA200

    ส่วนทางด้านขวาของฐานหรือตอนช่วยหุ้นเริ่มขึ้น หุ้นมักจะขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยที่วันที่หุ้นขึ้นแต่ละสัปดาห์ Volume ของหุ้นจะสูง แต่ในสัปดาห์ที่หุ้นลง Volume มักจะมีปริมาณที่น้อยกว่า ถ้าดูใน TF รายวันก็จะเป็นในลักษณะเดียวกัน คือหุ้นขึ้น Vol สูง หุ้นย่อ Vol ต่ำ

    ส่วนของฐานราคาที่เป็นหูจับ

    ฐานราคาที่เป็นรูปหูจับ จะเกิดจากการที่หุ้นขึ้นมาระยะหนึ่งแล้วเกิดการย่อตัวระยะสั้นจากการที่ตลาดย่อตัวหรือมีการทำกำไรระยะสั้นออกมา ระยะเวลาในการเกิดของหูจับที่เหมาะสมคือ 1-14 สัปดาห์

    หูจับจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ

    1. หูจับภายในฐานราคา (Cup with handle)

    2. หูจับที่สูงกว่าฐานราคา (Cup with High Handle)

      ฐานราคาส่วนของหูจับจะมีลักษณะเป็นแบบ Sideway ออกข้างหรือ Sideway down ระยะสั้น กราฟที่ฟอร์มตัวเป็นหูจับที่แข็งแกร่งมักจะเกิดอยู่ในช่วงบนของฐานราคา CWH การที่เราจะวัดว่าอยู่ช่วงบนของฐานหรือไม่ โดยการวัดจุดกึ่งกลางของฐานราคาถ้วย เทียบกับจุดกึ่งกลางของหูจับ ถ้ากึ่งกลางของหูจับอยู่สูงกว่าก็ถือว่าใช้ได้ (ในกรณีที่ตลาดปรับฐานลงหนัก หูจับส่วนใหญ่จะมีจุดกึ่งกลางที่ต่ำกว่ากึ่งกลางของถ้วยได้)

      ปริมาณซื้อขายช่วงที่ราคาย่อทำหูจับอาจจะมีปริมาณการซื้อขายที่สูงได้ แต่บริเวณที่เป็นส่วนล่างของหูจับมักมีปริมาณการซื้อขายที่น้อย หรือที่เราเรียกว่า Volume แห้ง แสดงให้เห็นว่าแรงขายของหุ้นนั้นลดลงแล้ว ยิ่งถ้าบริเวณด้านล่างของหูจับรองรับด้วย MA สำคัญเช่น MA10 หรือ MA50 จะยิ่งแสดงให้เห็นว่าหูจับนั้นฟอร์มตัวแข็งแรง

      หลังจากที่มีการย่อตัวเสร็จแล้ว หุ้นจะพุ่งขึ้นด้วยปริมาณการซื้อขายที่สูงกว่าช่วงที่หุ้นย่อ เบรคผ่านแนวต้านบนสุดของหูจับ

      จุดเข้าซื้อ

      จุดเข้าซื้อหลักของฐานราคารูปถ้วยและหูจับ จะอยู่บริเวณพื้นที่เหนือจุดบนสุดของหูจับ หรือการเบรคแนวต้านส่วนหูจับ การซื้อนั้นควรซื้อเหนือแนวต้านไม่เกิน 5% เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของราคา การพิจารณาการเข้าซื้อควรดู Volume ประกอบการตัดสินใจ โดยที่ Volume ที่เหมาะสมควรมีค่ามากกว่าค่าเฉลี่ย 50 วันของ Volume มากกว่า50 % และควรมีการซื้อขายมากต่อเนื่องหลายวัน

      ปัจจัยเสริมที่ทำให้ฐานราคามีความแข็งแกร่ง

      ส่วนต่อไปเป็นเรื่องของปัจจัยหรือองค์ประกอบภายในฐานราคา ที่ทำให้ฐานราคาแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถใช้ได้กับทุกฐานราคาไม่ใช่แค่ฐานราคาแบบ CWH นะครับ จริงๆแล้วมีเป็น 10 กว่าอย่างที่สามารถนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจได้ แต่ผมคัดเฉพาะอันที่คิดว่าสำคัญและสามารถประยุกต์ใช้กับตลาดหุ้นไทยได้นะครับ

      ค่าความแข็งแกร่งสัมพัทธ์หรือ Relative Strength (RS)

      RS เป็นค่าหนึ่งที่คนที่เทรดหุ้นนำตลาดหรือ Leading Stock มักจะใช้กันค่อนข้างมากในการประกอบการตัดสินใจ โดยค่า RS นี้คือค่าที่เปรียบเทียบระหว่างราคาของหุ้นที่เราสนใจกับราคาขึ้นลงของตลาดรวม เพื่อหาว่าหุ้นตัวนั้นแข็งแกร่งกว่าหุ้นตัวอื่นๆหรือตลาดโดยรวมรึเปล่า หรือพูดง่ายๆคือ ถ้าตลาดลงหนักหุ้นตัวนี้จะไม่ลงหนักตามตลาดหรือยืนแข็งแกร่งกว่าตลาด ขณะที่ถ้าตลาดโดยรวมเป็นขาขึ้น หุ้นตัวนี้จะขึ้นหนักกว่าตลาด โดยสามารถวัดออกมาเป็นค่าตัวเลขแล้วนำมาพลอตกราฟ (Relative Strength Line) หรือนำไปจัดลำดับความแข็งแกร่งของหุ้นทั้งตลาด (Relative Strength Ranking) ซึ่งรายละเอียดอันนี้คงต้องเขียนกันยาวหน่อย เอาไว้เขียนเป็นหัวข้อแยกให้ในโอกาสต่อไปนะครับ อันที่จะสื่อจากบทความนี้จะอยู่ในหน้าถัดไปซึ่งนำไปประยุกต์ใช้ได้ง่ายกว่า

      ในส่วนของเส้น RS ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการดูคุณภาพของฐานราคานั้น จะดูจากการดูเส้น RS ที่พลอตออกมาระหว่างการเคลื่อนที่ของกราฟ ถ้าหุ้นมีการฟอร์มตัวเป็นฐานราคาแล้วเส้น RS Line ยังมีลักษณะเป็น Uptrend อยู่ หรือในจุดที่เบรคของฐานราคา RS Line นั้นเบรคจุดสูงสุดของตัวมันเอง แสดงว่าหุ้นตัวนั้นแข็งแกร่งกว่าตลาดโดยรวม จากข้อมูลของทาง Investor Business Daily (IBD) พบว่าหุ้นผู้ชนะในอดีตส่วนใหญ่แล้วจะมีพฤติกรรมของ RS Line ที่มีลักษณะเป็น Uptrend และเบรคจุดสูงสุดใหม่เมื่อหุ้นทำการเบรคฐานราคาของมัน

      จากตัวอย่างตามภาพ

      เส้นสีเขียวผมได้พลอตเป็นกราฟของ SET ส่วนเส้นสีดำจะเป็น RS Line โดยดูที่ TF Week นะครับ เราจะพบว่าหุ้นตัวนี้ทำฐานราคาในรูปแบบ CWH ในช่วงที่ตลาดทำการย่อตัว แต่ลองสังเกตที่ RS Line จะพบว่า RS Line นั้นจะย่อไม่มากและเมื่อหุ้นตัวนี้เบรค RS Line ก็ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ไปแล้วก่อนที่หุ้นจะทำการเบรคจุดสูงสุดเดิมซะอีก

      ข้อมูลของการใช้ Relative Strength มีออกมาให้เราศึกษากันค่อนข้างเยอะนะครับ ถ้าใครสนใจศึกษาเบื้องต้นหรือเพิ่มก็ลองหาอ่านในหนังสือ How to make money in stock ,ทางเว็บของ IBD และลองหาใน Youtube เพื่อศึกษาภาคปฎิบัติก็ได้ครับ

      จริงๆแล้วที่ผมอยากจะนำเสนอมากกว่า RS ที่ใช้การคำณวนทางคณิตศาสตร์ คือการดู RS อย่างง่ายโดยใช้สายตาของเรานี่แหละครับ

      วิธีนี้ผมประยุกต์มาจากกูรูท่านนึง ชื่อ Joe Fahmy ที่มีประสบการณ์การเทรด Growth stock มากกว่า 19 ปี ซึ่งค่อนข้างได้ผลดีในการใช้ประกอบการตัดสินใจหาหุ้นเข้า Watchlist ของเรา วิธีนี้ทำโดยการเปิดกราฟของหุ้นที่เราสนใจออกมาในภาพใหญ่ (TF วันหรือสัปดาห์ก็ได้แล้วแต่ถนัด) จากนั้นให้เปิดกราฟของตลาดโดยรวมหรือ SET เทียบตามภาพตัวอย่าง จากนั้นให้เราลองเทียบสภาพที่เกิดขึ้นจริงของ SET และหุ้นที่เราสนใจไปทีละลำดับตั้งแต่การขึ้นการลงหรือเทรนด์ภาพใหญ่ที่มันเกิด

      จากตัวอย่างที่ผมได้ให้ไว้ เราลองสังเกตที่กราฟด้านหลังสีฟ้านั่นคือกราฟของ SET นะครับ เมื่อ SET เป็นขาลงในช่วงลูกศรแรก หุ้นตัวนี้พักฐานทำตัวออกข้าง ซักพักเมื่อตลาดเริ่มกลับมาเป็นขาขึ้น หุ้นตัวนี้ก็ขึ้นตามตลาด และเมื่อตลาดเป็นขาลงอีกครั้งหุ้นตัวนี้ก็ทำพฤติกรรมเดิมคือยืนแข็งแกร่งออกข้างขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่เขาตกกันหมด สภาพอย่างนี้แหละครับคือหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด การที่หุ้นเกิดการพักฐานแล้วมี RS สูงทำให้ฐานราคานั้นๆมีคุณภาพ อยากให้ทุกคนลองเปิดกราฟหุ้นที่เป็นผู้ชนะของตลาดแต่ละรอบในประเทศไทยดูนะครับ ว่าลักษณะที่เกิดขึ้นโดยวิธีการเทียบ RS โดยใช้ตาของเราเป็นแบบไหน คิดว่าน่าจะได้ไอเดียในการเทรดกันไม่มากก็น้อย

      ช่วงราคาที่มีการปิดใกล้ๆกัน

      ตามการดู Chart แบบของ CANSLIM พบว่าหุ้นผู้ชนะหลายๆตัว ที่ฟอร์มฐานราคามักมีจังหวะที่หุ้นตัวนั้นมีลักษณะบีบอัดหรือมีราคาปิดรายสัปดาห์ที่ใกล้เคียงกัน(ไม่เกิน 2%) เป็นเวลา 3 อาทิตย์ติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก้นของฐาน หรือจังหวะที่หุ้นจะฟอร์มตัวฐานด้านขวา จากที่ได้ศึกษาจากกราฟในหุ้นในไทยหลายๆตัวก็พบว่าหุ้นที่ขึ้นไปได้ไกลก็มีการบีบอัดของฐานราคาอยู่หลายตัวก่อนขึ้นรอบใหญ่ครับ

      MA Support

      หุ้นที่มีฐานราคาที่แข็งแรงและมีคุณภาพมักจะมีการรับที่แนวรับสำคัญของหุ้นตัวนั้นหรือเส้นค่าเฉลี่ย 10/40 สัปดาห์ และมักจะไม่หลุดเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะกับฐานราคาCWH ในส่วนของหูจับมากจะรับที่ MA50 อยู่หรือหลุดแล้วเด้งในระยะเวลาไม่นาน

      การสะสมหุ้น(Accumulation)และการกระจายของหุ้น (Distribution)

      ใช้ดูการสะสมหุ้นของรายใหญ่ เช่น กองทุน ต่างชาติหรือนักลงทุนรายใหญ่ ว่ามีการสะสมในหุ้นตัวนั้นมั้ยระหว่างที่หุ้นตัวนั้นสร้างฐานราคา วิธีการเช็คว่าหุ้นมีการสะสมก็มีหลายแบบมากแล้วแต่นักเทรดแต่ละคนประยุกต์ใช้ ขนาดคนที่เป็นสาย CANSLIM ในต่างประเทศเก่งๆหลายๆท่านก็มีการคิดที่แตกต่างกัน ในส่วนที่ผมใช้ประยุกต์มาจากคุณ Lee Tanner ที่เทรดโดยใช้กลยุทธ CANSLIM มามากกว่า 10 ปี และเป็นผู้ฝึกสอนการเทรดโดยใช้กลยุทธ CANSLIM ให้กับหลายๆในคลาสของ IBD Meetup ครับ

      วิธีการดูก็ให้เราเปิดกราฟรายสัปดาห์ของฐานหุ้นที่เราสนใจขึ้นมาครับ โดยให้เราวิเคราะห์ไปทีละแท่งของกราฟราคา โดยที่แท่งที่เราจะพิจารณานั้น ปริมาณการซื้อขายของแท่งนั้นจะต้องมากกว่าค่าเฉลี่ย 10 สัปดาห์ ถ้าแท่งไหนไม่ถึงค่าเฉลี่ยเราจะไม่นับการสะสม/การกระจาย ให้ข้ามแท่งนั้นไป

      ถ้าปิดรายสัปดาห์แล้วราคาของแท่งนี้สูงกว่าแท่งรายสัปดาห์ก่อนหน้า (หุ้นขึ้น) โดยที่แท่งของกราฟนั้นราคาปิดสูงขึ้นกว่า 50% ของแท่งเราจะนับให้แท่งนั้นมีการสะสมของหุ้น (+1) แต่ถ้าแท่งของกราฟราคาสูงกว่าแท่งรายสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ปิดต่ำกว่า 50 % ของแท่งเดิมแสดงว่ามีการขายใส่ของหุ้นทำให้กราฟแท่งปิดไม่สวย เราจะนับเป็นการกระจายของหุ้น (-1)

      ถ้าปิดรายสัปดาห์แล้วราคาของแท่งนี้ต่ำกว่าแท่งรายสัปดาห์ก่อนหน้า (หุ้นลง) โดยที่แท่งของกราฟนั้นราคาปิดสูงขึ้นกว่า 40% ของแท่ง แสดงว่ามีการรับหุ้นหรือซื้อหุ้นกลับ เราจะนับว่ามีการสะสมของหุ้น (+1) แต่ถ้าปิดต่ำกว่า 40 % ของแท่งเดิมแสดงว่ามีการเทขายของหุ้นทำให้กราฟแท่งปิดไม่สวย เราจะนับเป็นการกระจายของหุ้น (-1)

      การนับจะเริ่มนับตั้งแต่แท่งกราฟสัปดาห์แรกที่หุ้นลงไปจนถึงแท่งก่อนเบรคจุดเข้าซื้อหลัก อย่างในตัวอย่างเราจะนับแท่งไปทีละแท่งจากซ้ายไปขวา นับเฉพาะแท่งที่มี Volume มากกว่าค่าเฉลี่ย 10 สัปดาห์เท่านั้น เมื่อนับเสร็จจะได้ค่าการสะสมเท่ากับ 9 สัปดาห์ และการกระจายเท่ากับ 3 สัปดาห์ จากนั้นนำมาหักลบกันจะได้ว่าฐานของหุ้นตัวนี้มีการค่าการสะสมมากกว่าการกระจายของหุ้น หรือมีค่าการสะสมเป็นบวก

      IBD ได้สรุปออกมาว่าหุ้นที่เป็นผู้ชนะในส่วนใหญ่จะมีค่าของการสะสมในฐานราคาเป็นที่เป็นบวก ฉะนั้นก็ลองไปศึกษากราฟหุ้นเก่าๆ หรือหุ้นที่ตัวเองจะทำการเทรดดูนะครับว่าการสะสมหุ้นแต่ละตัวเป็นอย่างไร

      ก็จบกันไปสำหรับการอ่านฐานราคาเบื้องต้นของฐานราคา CWH นะครับ ฐานราคาของหุ้นทุกตัวมันไม่จำเป็นจะต้องตรงตามทฤษฎีไปซะหมดนะครับ เวลาไปเจอเหตุการณ์จริงๆมันไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ และถึงแม้ว่าหุ้นที่เราเทรดจะมีรูปแบบของฐานราคาที่ตรงตามอุดมคติซะหมด ก็ใช่ว่าหุ้นตัวนั้นจะกลายเป็นผู้ชนะตัวต่อไปได้ เพราะเรื่องพวกนี้มันมีปัจจัยภายนอกและบริบทรอบด้านมากมายที่เข้ามาร่วมทำให้เหตุการณ์ที่เกิดมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด 100% สิ่งสำคัญคือการดำเนินแผนตามกลยุทธและการบริหารความเสี่ยงซะมากกว่า โดยส่วนตัวแล้วผมจะใช้การอ่านฐานราคาในเชิงเปรียบเทียบระหว่างหุ้นแต่ละตัวว่าตัวไหนฐานราคาเป็นอย่างไร ประกอบกับการอ่านปัจจัยพื้นฐานของหุ้น เพื่อสร้าง Watchlist ในแบบของตัวเองซะมากกว่า ยังไงก็ลองนำไปปรับใช้กันดูนะครับ เราสามารถฝึกเรื่องพวกนี้ได้จากการลองนำหุ้นเก่าๆมาเปิดดูทีละตัว แล้วศึกษาไปทีละปัจจัยว่าเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องพวกนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ก็คุ้มค่าที่ได้ลองฝึกครับ

      สำหรับใครที่อ่านจบก็ฝาก กด Like กด Share ด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ ทางเพจจะเขียนออกมาเรื่อยๆนะครับ พยายามจะทำให้ได้ทุกสัปดาห์นะครับ ฮาฮา


      Comments

      Leave a Reply

      Your email address will not be published. Required fields are marked *