– Trading Strategy โดย Humble Trader Diary-
ด้วยที่วันนี้คุยกับลูกเพจยาวๆ เกี่ยวกับแผนการเทรดแล้วก็กลยุทธ์ว่าเวลาผมทำกลยุทธ์ผมทำยังไงบ้าง ปกติที่ที่เขาทำ เขามักจะมองแผนเป็นหุ้นรายตัวว่าชอบตัวไหนมีท่าอะไรแล้วก็เล่น แล้วปรับแผนไปตามแล้วแต่สถานการณ์ที่เขามองว่ามันน่าจะเกิดขึ้น ส่วนตัวผม ผมไม่ได้อะไรกับหุ้นรายตัวมาก เทรดเฉพาะตัวที่มันตรงกับแผนที่เราที่เราถนัดซะมากกว่าแล้วก็ขายตามสิ่งที่ตัวเองทดสอบแล้วว่ามันดี แล้วก็ทำซ้ำ
คิดว่าหลายๆ คนก็น่าจะสนใจเรื่องพวกวางกลยุทธ์เหมือนกัน วันนี้เลยหยิบบทความที่เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้อ่านกัน เผื่อใครยังไม่เคยอ่าน ยาวหน่อยแต่คิดว่าน่าจะได้อะไรนะครับ
วันนี้มาแนะนำเกี่ยวกับการสร้างกลยุทธ์การเทรดแบบคร่าวๆ นะครับ คิดว่ามีลูกเพจที่เพิ่งเริ่มต้นเข้ามาในอาชีพนี้อยู่เยอะเหมือนกัน ลองอ่านแล้วอันไหนคิดว่าเป็นประโยชน์ก็ลองไปปรับใช้กันนะครับ
โดยครั้งนี้จะเป็นการเขียนแผนสำหรับคนที่เป็น Discretionary Trader หรือเทรดมือเองนะครับ ส่วนในแบบที่เป็น systematic/quant จะคิดในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดครับ
โดยปกติเวลาเขียนกลยุทธ์ ผมจะแบ่งเรื่องของกลยุทธ์เป็น 6 ส่วนครับคือ
1. ภาพรวมของกลยุทธ์
2. ตัวคัดกรองตลาด
3. วิธีการเทรด
4. การจัดการเงินและความเสี่ยง
5. เอกสาร ข้อมูลและเครื่องมือที่ใช้
6. การจัดการกระแสเงินสด
โดยการที่เราสร้างกลยุทธ์ขึ้นมาจำเป็นจะต้องคิดถึงสามหลักการ คือ ต้องเป็นกลยุทธ์ที่มีวิธีการเทรดที่ได้เปรียบ (Positive Expectancy) ต้องเป็นกลยุทธ์ที่อยู่รอด และเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวผู้ใช้
งั้นเรามาดูกันที่ละส่วนนะครับ
1. ภาพรวมกลยุทธ์
ส่วนแรกที่เราจะต้องทำคือ ภาพรวมของกลยุทธ์ เราเขียนในส่วนนี้เพื่อให้เราเข้าใจ และเตือนตัวเองตลอดว่าเราเทรดแต่ละเทรดอย่างไร เพื่ออะไร และเทรดไปทำไม ซึ่งจะประกอบด้วยสามส่วนหลัก คือ
1.1 คำจำกัดความ หลักการหรือคติ
กลยุทธ์นี้คืออะไร อะไรคือแก่นของมัน เรามองอะไรเป็นสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น “CANSLIM Investing” ของ William J O’Neil ที่หลักการจะเป็นการศึกษา Historical Precedent Analysis มาคิดในระบบ Ranking แล้วนำมาเล่นในรูปแบบที่เป็น Position Trading หรือ อย่าง Mark Minervini ที่สร้าง Leadership Profile เพื่อศึกษา Historical Precedent Analysis เช่นกัน แล้วเน้นหนักที่ Momentum anomaly แล้วนำไปเล่น Swing Trading ซึ่งใส่ชื่อเรียกมันว่า “SEPA® Methodology” เป็นต้น
และอาจจะเพิ่มเรื่องของหลักการของกลยุทธ์นี้เข้าไป เช่น เป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ/ ความเสี่ยงสูง, เป็นกลยุทธ์ที่ Risk adjusted return เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการหา cashflow/capital gain/dividend
1.2 วัตถุประสงค์ ข้อจำกัดของกลยุทธ์
กลยุทธ์นี้เราจำเป็นจะต้องใช้เวลากับมันมากเท่าไหร่ เช่น เป็นหลักการที่ต้องใช้เวลาเต็มวันเลยหรือต้องเฝ้า เพราะสัญญาณมัน sensitive ทั้งการซื้อและการขาย ทำให้อาจจะไม่เหมาะกับคนที่เป็น Part-time หรือไม่มีเวลาในการเฝ้า
กลยุทธ์นี้ Maximum Drawdown ที่คาดหวังอยู่ที่ระดับไหน 10%, 20% หรือมากกว่านั้น บางคนไม่ชอบให้พอร์ตเหวี่ยง ก็ต้องไปออกแบบวิธีการและการวางเงินหรือความเสี่ยงที่มีความ conservative หรือทำกลยุทธ์ที่มีการจับว่าถ้า drawdown ถึงระดับที่ต้องเฝ้าระวังจะหาวิธีรับมืออย่างไร เช่น คาดหวังว่า Max Drawdown จะไม่เกิน 20% พอลงมาถึง 10-15% จะมีการแก้เกมมั้ย เช่น ปรับวิธีการ, ลด size หรือหยุดชั่วคราว แล้วถ้าแก้เกมไม่สำเร็จมันทะลุเกิน 20% จะทำอย่างไร
ประเภทของหุ้นที่เราจะเน้นหรือเล่น เช่น หุ้นนำตลาด หุ้นพื้นฐาน หุ้นที่เป็นmomentum หรือหุ้นขนาดเล็ก/ขนาดกลาง หุ้นที่เป็น value stock มี p/e หรือ p/s ต่ำ เป็นต้น
Key Metric ที่เราสนใจหรือเป็นปัจจัยในการวัดผลและควบคุม เช่นเรื่องของ Risk/reward ratio, Frequency, Win rate บางคนอยากทำกลยุทธ์ที่มีอัตราชนะสูงหรือ บางคนชอบกินคำใหญ่ต่อรอบ หรือบางคนชอบเทรดถี่ๆ เพื่อใช้ในการหา cash-flow หรือฝึกฝนในหน้างาน
1.3 วิธีการ สินค้า และเครื่องมือที่ใช้
ส่วนนี้จะเป็นเรื่องของวิธีการ สินค้าและเครื่องมือที่เราใช้อย่างคร่าวๆ (อย่างละเอียดจะไปใส่ในช่วงของ วิธีการเทรดครับ) เพื่อใช้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลยุทธ์ที่เขียนไว้ในข้อด้านบน
วิธีการเทรด เช่น Position trading, Swing trading, Mean Reversion, Scalping
สินค้าที่เล่นทั้งหมดในกลยุทธ์ เช่น หุ้น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า option dw หรือเงินสด เราเล่นอะไรบ้างในกลยุทธ์นี้
แล้วเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้ เช่น Bar chart, volume, indicator, fundamental aspect ระบุสิ่งที่เราใช้ให้ครบ
พยายามเขียนภาพรวมให้ครอบคลุมทั้งหมดของกลยุทธ์ของเราครับเพื่อให้เรานำไปใช้ได้อย่างสะดวกและชัดเจน
2. ตัวคัดกรองตลาด
ตัวคัดกรองตลาดมีไว้เพื่อให้เข้าใจว่าตอนนี้สถานการณ์ตลาดเป็นเช่นไร เพื่อให้เรา action ได้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คล้ายๆ กับสัญญาณไฟจราจรที่ไฟเขียวเราต้องขับรถต่อไป ไฟเหลืองให้เราเตรียมหยุด และไฟแดงเราต้องจอดรถ โดยปกติผมจะอ่านเกมให้ออกก่อนว่าสภาวะตลาดเป็นแบบไหน แล้วเลือกเล่นวิธีการเล่นที่เราถนัดและการวางเงินที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งก็ไม่จำเป็นจะต้องอ่านให้ถูกทุกครั้ง แต่ถ้าในภาพใหญ่เราพอจะอ่านออก แค่นั้นก็สร้างความได้เปรียบให้เรามากแล้วครับ
ตัวคัดกรองจะประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ คือ เกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดสถานะ และสถานะของตลาด
2.1 เกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดสถานะ
สิ่งที่ใช้ในการกำหนดสถานะได้แก่
- Theory ต่างๆ อย่าง Dow theory, CANSLIM market direction, Elliott Wave theory
- Indicator หรือตัวบอก Trend เช่น Moving average, Sto, RSI, ATR
- ปัจจัยทางพื้นฐาน เช่น ความถูกแพงของตลาด, ดอกเบี้ยนโยบาย, ข้อมูล Macroeconomic
- Market Breadth เช่น จำนวนของหุ้นที่ทำ 52 weeks high/ 52 weeks low หุ้นที่อยู่เหนือค่า EMA, Up/Down Volume Ratio, put-call ratio เป็นต้น
- ผลงานการเทรดของตัวเราในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะใช้เรื่องของ Consecutive loss, Equity Curve, Win rate หรือ R/R ในช่วงระยะเวลาหนึ่งในการบ่งชี้ว่าตอนนี้มันยากหรือง่าย
จริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นจะต้องใช้ทุกอย่าง ใช้แค่ที่เราเข้าใจหรือมีความรู้ก็พอครับ (หรือถ้าไม่รู้ก็หาความรู้เพิ่มนะ)
2.2 สถานะของตลาด
สถานะของตลาดก็เปรียบเหมือนสัญญาณจราจรเขียวเหลืองแดงครับ ในตลาดหุ้นก็จะเป็น Uptrend, Downtrend, Sideways, high/low volatility market หรืออย่างมาร์คที่ใช้ก็จะเป็นการคิดจากความยากง่ายของ performance ในช่วงนั้นคือ ช่วงตลาดยาก (hard penny) และช่วงตลาดง่าย (easy dollar)
3. วิธีการเทรด
ส่วนที่สามจะเป็นส่วนของวิธีการเทรด ซึ่งในกลยุทธ์หนึ่งสามารถมีวิธีเทรดได้หลายแบบ หรือจะแบบเดียวก็ได้ ในแต่ละวิธีการเทรด รายละเอียดที่เราจะต้องวางแผนมีดังนี้ครับ
1. ชื่อวิธีการ
2. วัตถุประสงค์ของวิธีการ
3. Condition ที่เหมาะสมในการใช้ (ซึ่ง condition ที่เหมาะสมจะอิงจากสถานะตลาดที่มาจากในข้อที่ 2)
4. จุดเด่นของวิธีการ
5. ข้อจำกัดของวิธีการ
6. Tools/ Timeframe / Watchlist criteria
7. รูปแบบการเข้าและออกสถานะ ซึ่งมี 4 ส่วน คือ Trade setup, Entry signal, exit signal และ trade management/tactic
ต่อไปเป็นตัวอย่างของวิธีการเทรดเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นนะครับ โดยผมจะเรียงตามหัวข้อที่บอกไว้ข้างบน
1. ชื่อวิธีการ : Position Trading
2. วัตถุประสงค์ของวิธีการ : Catching big trends
3. Condition ที่เหมาะสมในการใช้ : Uptrend
4. จุดแข็ง : เป็นระบบที่ไม่ต้องใช้เวลาในการดูแลมาก, high R/R ratio
5. จุดอ่อน : เป็นระบบที่เหมาะกับแค่ไม่กี่ช่วง condition ทำได้ไม่ดีตอนที่ตลาดเป็น Downtrend และ Sideway, Win rate ต่ำ
6. Tools: Chart, Volume, Exponential Moving Average 50/200
Timeframe: Day
Watchlist Criteria : EPS Growth Last Qtr, Sales Growth Last Qtr, หุ้นอยู่ในบริเวณ 52wh ไม่เกิน 15%, หุ้นที่อยู่เหนือเส้น 50 EMA และ 200 EMA
7. รูปแบบการเข้าและออกสถานะ:
Trade Setup : หุ้นเกิดฐานราคาที่เกิน 20 วัน และมีความลึกของฐานราคาไม่เกิน 15% ถ้านับจากด้านบนสุด
Entry Signal : หุ้นทะลุจุดสูงสุดของฐานราคา ไม่เกิน 3%
Exit Signal : จุดตัดขาดทุนไม่เกิน 7% จากจุดเข้าซื้อ, จุดขายทำกำไร ขายเมื่อหุ้นปิดวันต่ำกว่า 50 EMA
Trade Management : Time Stop ถ้าเข้าสถานะไปแล้วหุ้นได้กำไรไม่เกิน 5% ใน 10 วัน สามารถออกสถานะได้เลย, ถ้าเกิดสถานะตลาดเปลี่ยนจาก Uptrend เป็น Sideways ให้ทำการขายสถานะครึ่งหนึ่งออกทันที แล้วสถานะที่เหลือให้คงไว้แบบเดิม
อันนี้ก็จะเป็นตัวอย่างของวิธีการเทรดแบบหนึ่งครับ ถ้าเราเข้าใจทางเรื่องของสถานะของตลาด และเล่นได้หลายวิธีการที่มันเหมาะกับสถานะนั้นๆ เราจะสามารถ adapt ตัวเองได้อย่างดี หรือเราอาจจะสร้างวิธีการที่มันพอจะอยู่รอดได้ในทุกสภาวะตลาดก็ได้ถ้าเราสามารถทำได้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเรื่องของการมีแผนการเทรด คือ แผนการเทรดที่คุณเล่นนั้นมันสามารถที่ชนะตลาดในระยะยาวได้จริงๆ ซึ่งวิธีการหาเรื่องพวกนี้ที่นิยมใช้กันก็จะมีอยู่สองแบบ คือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือการ Test สมมุติฐาน และอีกแบบคือลอกบุคคลที่เราคิดว่าสำเร็จแล้วลองเอามาปรับให้เข้ากับตัวเรา ผมแนะนำว่าถ้าเราจะลอก เราต้องศึกษาคนที่เราลอกอย่างละเอียด หรือเอาแม่แบบข้างบนที่ผมเขียนไว้ แล้วลองไปอ่านหรือฟังคนที่คุณคิดว่าอยากจะลอกมากรอกลงในแม่แบบข้างบนดู ข้อควรระวังคือ คนที่ไปลอกมามันสำเร็จจากตลาดจริงๆ ไม่ใช่ทำการตลาดสำเร็จนะครับ ไม่งั้นชิบหายกันหมด
และอีกอย่างหนึ่งที่มันมากกว่าเรื่องของวิธีการที่ชนะตลาด มันคือเรื่องของความมั่นใจในการใช้ และประสบการณ์ในการใช้ครับ
วิธีการที่คุณใช้ คุณลอกมาได้ แต่ความมั่นใจในการใช้และประสบการณ์ในการใช้คุณต้องสร้างเอง เรื่องพวกนี้มันยืมกันไม่ได้ครับ
4. เรื่องของการจัดการเงินและความเสี่ยง
เรื่องของการบริหารเงินและเรื่องของความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ส่งผลตรงต่อความอยู่รอดในระยะยาวของตัวเทรดเดอร์ แต่ส่วนใหญ่มือใหม่จะสนใจทางด้านวิธีการมากกว่า ให้เปลี่ยนวิธีคิดซะใหม่นะครับ การได้เงินของคุณมันขึ้นอยู่กับ วิธีการ คูณ กับการวางเงินของคุณเสมอ ถ้าคุณมีวิธีการที่ดี ชนะการเทรดนั้น แต่ได้ครั้งละน้อยๆ แต่พอคุณแพ้ คุณเสียครั้งละมากๆ คุณก็จะแพ้เกมนี้นะครับ ฉะนั้นต้องพึงระลึกเสมอว่า
การวางเงินมีความสำคัญเท่ากับวิธีการเทรดครับ
“Your trading profit on a trade is the price you sell minus the price you buy times THE SIZE OF YOUR POSITION. It does not make any sense to concern yourself with the first part and ignore the second part.”
– Tom Basso, Market Wizard –
ซึ่งเรื่องนี้ก็จะมีหัวข้อที่คุณจะต้องคำนึงถึงอยู่หลายหัวข้อเช่นกัน แต่ผมคิดว่าถ้าเขียนแม่งจะยาวโคตรเลยคิดว่าจะทำบทความแยกอีกอันหนึ่ง เอาหัวข้อไปก่อนในเรื่องที่เราจะต้องใส่ใจครับ
- Money management model
- Portfolio heat/Market Exposure
- Risk per trade
- Portfolio diversification
- Correlation Between Stocks
- Liquidity/Volatility
- Theory
- Worst Case Contingency Planning
เดี๋ยวไว้มาอ่านต่อในอีกบทความนะครับ แต่จริงๆ ผมเคยทำบทความเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไว้ใน บทความ A Defensive Mentality วิชาเอาตัวรอดในตลาดหุ้น โดย Humble Trader Diary ที่นี่
สามารถไปอ่านก่อนได้นะครับ
5. เอกสาร ข้อมูลและเครื่องมือที่ใช้
ส่วนนี้จะเป็นเรื่องของเอกสารและเครื่องมือที่จำเป็นที่คุณต้องใช้เพื่อทำให้กลยุทธ์ของคุณทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ได้แก่
- Trading Strategy/ Playbook ก็คือกลยุทธ์ทั้งหมดที่คุณใช้ ซึ่งโดยปกติผมจะทำแล้ว print out ออกมาเป็นเอกสารเอาไว้ที่หน้าจอ
- Trading Dashboard ผมจะมี excel หนึ่งที่เวลาที่อยู่หน้าจอจะเปิดไว้ทุกครั้ง ซึ่งจะประกอบด้วย เรื่องของ Position size ที่เราจะใช้ในการเข้าซื้อหุ้น, ข้อมูลสรุปว่า ณ ตอนนี้ตลาดอยู่ใน condition ไหน แล้วเราจะต้องรันกลยุทธ์อย่างไร ต้องขายหุ้นในมือเราที่จุดไหนบ้าง กฏคืออะไร
- Checklist ที่เราจะต้องดูก่อนเข้าและออกสถานะ เช่น หุ้นตรงตาม criteria มั้ย หรือเราขายได้ตาม Strategy ที่วางมั้ย หรือช่วงเวลาในการตรวจงานตามเวลา เช่น ในช่วง 9.50 น. ต้องดูตลาด future และตลาดเอเชีย ช่วงบ่ายสามต้องดูตลาดยุโรปเปิด
- Trading Journal and Performance analysis เรื่องของไดอารี่ จดบันทึก และ remark จุดที่เราทำได้ดี หรือไม่ทำตามแผน แล้วนำสิ่งนี้ไปพัฒนาแผนต่อ
6. การจัดการกระแสเงินสด
ต่อไปก็เป็นเรื่องของการจัดการกระแสเงินสดซึ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็น Full Time Trader นะครับ เพราะรายได้หลักเรามาจากการเทรด (แต่ถ้า Full Time Teacher ก็อาจจะคิดอีกแบบ หยอกๆ) ซึ่งสิ่งสำคัญที่จะต้องคิด ได้แก่ จำนวนเงินต้นและเงินทุนสำรองที่เรามี, จำนวนเงินที่คุณต้องใช้ต่อเดือน/ต่อปี เพื่อให้เราเข้าใจเรื่องของสัดส่วนของเงินขั้นต่ำที่เราต้องได้กับจำนวนเงินต้นที่เรามี ซึ่่งถ้ามันสูงไป เครียดเกินไป หรือสัดส่วนไม่ดี ผมก็ไม่แนะนำให้ออกมาเป็น Full time เท่าไหร่ มันเครียดฮะ โดยเฉพาะช่วงที่คุณเจอการขาดทุนติดๆ หรือคุณอาจจะต้องทำอย่างอื่นเสริม หรือถ้าคุณเทรดชนะตลอดก็ออกมาลุยเลยครับ และอีกอย่างหนึ่งคือ รอบของการจ่ายเงิน เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ทุกไตรมาส ซึ่งผมคิดว่าเราควรทำให้เป็นรอบ routine และไม่ควรถี่เกินไป เพราะอาจจะเกิดความเครียดและเกิด Result oriented หวังแต่จะเอาเงินแล้วทำให้ระบบรวน
แผนการเทรดอย่างคร่าวๆ ก็จะประมาณนี้นะครับ บางคนที่วางแผนแค่ เห็นหุ้นสวย แล้วไปวางแผนรายตัว ผมอยากให้ลองปรับให้มาทำแผนแบบนี้ มันจะชัดเจนกว่า แล้วเวลาเราเทรดเราไม่ได้เทรดเป็นรายตัว แต่เราเทรดเป็นพอร์ตครับ การที่คุณมองแต่รายตัว มันเหมือนคุณโฟกัสแต่ภาพแคบ แต่ไม่โฟกัสภาพใหญ่
“ถ้ามัวแต่สนใจใบไม้เอ็งจะไม่เห็นต้นไม้ ถ้าเอ็งมัวแต่สนใจต้นไม้เอ็งก็จะไม่เห็นป่า ไม่หยุดหัวใจไว้ที่ใดที่หนึ่ง แต่ถ้าจะดูต้องดูทั้งหมด นี่แหละ… ที่เขาเรียกว่า ดูอย่างแท้จริง”
– Vagabond –
และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือ เรื่องของกลยุทธ์และแผนการเทรด มันเป็นเพียงแค่ “อาวุธ” ที่คุณใช้ครับ แต่ตัวคุณเองที่เป็นผู้ใช้อาวุธนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า การที่เรายังทำไม่ได้ตามที่หวัง บางทีอาวุธของคุณอาจจะดี แต่คุณอาจจะยังไม่มีคุณสมบัติในการใช้มันก็ได้ครับ ฉะนั้นเราจำเป็นจะต้องหาความรู้ พัฒนาทักษะ และเก็บประสบการณ์เพื่อให้เราสามารถใช้อาวุธที่ดีได้อย่างคล่องแคล่วครับ ครั้งนี้มีเรื่องแชร์ประมาณนี้นะครับ
โชคดีในการลงทุนทุกท่านนะครับ
Leave a Reply