บทความนี้ผมขอแปลหนึ่งในบทความที่ผมชอบมากๆ ของเทรดเดอร์ต้นแบบอย่างคุณ Joe Fahmy โดยต้นฉบับถูกเขียนขึ้นในช่วงปี 2016 ที่ตลาดอเมริกาเกิดการปรับฐานซึ่งน่าจะเหมาะกับสถานการณ์ของตลาดบ้านเราในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ได้เวลาถือเงินสด?
ผมได้รับอีเมล์มากมายตลอดช่วงสุดสัปดาห์จากคนที่ดิ้นรนและตื่นตระหนกกับตลาดหุ้น นี่ไม่ใช่เหตุการณ์วันสิ้นโลก นี่เป็นเพียงแค่ตลาดปรับฐานเท่านั้นเอง ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับการลงทุนของพวกเขาคือ เราควรทิ้งมันไว้ไม่ต้องทำอะไร หรือว่าเราควรขายออกมาบ้างแล้วถือเงินสด
ความเป็นจริงคนเราก็อยากจะได้ประโยชน์จากทั้งสองทางนั่นแหละและมันไม่อยู่บนพื้นฐานความจริงเลย อีกนัยหนึ่งคือเมื่อตลาดส่วนใหญ่เป็นขาขึ้น (อย่างในช่วงปี 2013-2015) ทุกคนหวังว่าเราจะลงทุนอย่างเต็มที่และปล่อยให้หุ้นมันวิ่งขึ้นไป และเมื่อตลาดเกิดการปรับฐาน (อย่างเช่นที่เกิดอยู่ในตอนนี้) ทุกคนก็หวังว่าพวกเขาจะโปรแอคทีฟมากขึ้นและลดจำนวนการถือหุ้นก่อนที่หุ้นจะลง
คำตอบของผมคือ ตลาดหุ้นจะแข็งแรงสองถึงสามครั้งต่อปี เมื่อตลาดแข็งแรงผมจะซื้อหุ้นเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งมีศักยภาพจะทำให้ราคาไปได้ไกล เมื่อตลาดอ่อนแอ ผมจะลดจำนวนการถือหุ้นแล้วตั้งรับ
นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดของปรัชญานี้ ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามันไม่สามารถทำได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขาไม่อยากทุ่มเทเวลาและความพยายาม ยิ่งกว่านั้นผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความมั่นใจมากพอในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่และไม่อยากตัดสินใจอะไรด้วยความกลัว
ในตอนนี้ลูกค้าของผมถือเงินสด 100% พวกเราถือเงินสดมากกว่า 90% ตั้งแต่ต้นปี โดยปกติแล้วผมไม่ชอบแชร์ระดับการลุงทุนของผมต่อสาธารณะเนื่องจาก 1. ผมไม่ต้องการให้ใครทำตามอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า 2. ผมสนับสนุนให้คนคิดด้วยตัวของพวกเขาเอง และ 3. ผมสามารถปรับระดับการลงทุนได้เร็วมากๆ อย่างที่คุณ Stanley Druckenmiller ได้กล่าวไว้ “หนึ่งในทรัพย์สินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผมคือผมสามารถเปลี่ยนความคิดของผมได้อย่างรวดเร็ว” กล่าวคือ เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ผมไม่มีปัญหาเลยที่จะตัดสินใจและกลับไปซื้อหุ้น ความลังเลและการนั่งอยู่ข้างสนามเป็นปีๆ ไม่เคยอยู่ในความคิดของผม
กลยุทธ์นี้ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน ถ้าคุณเป็นนักลงทุนหรือยังหนุ่มยังแน่น ผมแนะนำให้คุณลงทุนระยะยาว นำเงินไปลงทุนในกองทุนเกษียณอายุ หรือที่อื่นๆ และไม่ต้องเปลี่ยนไปถือเงินสด
หนึ่งในเหตุผลที่ผมถือเงินสดมากกว่าปกติในช่วงตลาดปรับฐานเพราะสี่ในห้าส่วนของหุ้นทั้งหมดจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับทิศทางของตลาด ไม่ว่าบริษัทนั้นจะยอดเยี่ยมแค่ไหนก็ตาม ยกตัวอย่างในช่วงวิกฤตการเงินในปี 2008 หุ้นแอปเปิลตกจากราคา $200 ไปที่ $80 และนั่นเป็นช่วงเริ่มต้นของการเปิดตัวสองสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ (IPad และ IPhone)
ผมได้ศึกษาเหล่าเทรดเดอร์ที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์หลายท่าน เช่นคุณ Jesse Livermore และ Gerald Loeb พวกเขาเชื่อว่าคุณควรที่อยู่ในตลาดเมื่อความน่าจะเป็นอยู่ข้างคุณ
อย่างเข้าใจผมคิด ผมต้องการให้ตลาดแข็งแกร่ง ผมแค่เคารพและเข้าใจว่าตลาดมันไม่ได้ขึ้นตลอดเวลา เมื่อตลาดย่ออย่างช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เป้าหมายของผมคือการปกป้องทรัพย์สินของลูกค้าและปกป้องความมั่นใจของผม อย่างที่ผมได้กล่าวมาในขั้นต้น นี่ไม่ใช่วันสิ้นโลก มันเป็นเพียงแค่การปรับฐานและมันเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ผมไม่รู้ว่าตลาดจะปรับฐานไปอีกนานแค่ไหนและไม่มีใครรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสามารถการันตีได้เลยว่าเมื่อการปรับฐานสิ้นสุด ตลาดจะมีขาขึ้นรอบใหม่ที่น่าอัศจรรย์ สิ่งสำคัญคือการมีความอดทนและวินัยจนกว่าภาวะตลาดจะดีขึ้น
Joe Fahmy, Managing Director of Zor Capital, LLC
หลังจากที่ตลาดปรับฐานเสร็จในช่วงปลายปี 2016 ตลาดอเมริกาก็เกิดขาขึ้นรอบใหญ่
น่าจะเป็นบทความที่เหมาะกับช่วงนี้ที่ตลาดไทยค่อนข้างผันผวนนะครับ หวังว่าทุกคนจะรอดกับตลาดในช่วงที่ผ่านมา พยายามอดทนและมีวินัยตลอดช่วงเวลาในการเทรดและการลงทุนนะครับ
โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
Leave a Reply