บทความนี้ผมสรุปการเลือกหุ้นและวิธีเทรดของสาย Techno-fundamental trading มาฝากครับ
ระบบนี้มีชื่อว่า “EAGLE” หรือ “การเทรดแบบนกอินทรี” ของคุณ Michael Lamothe ครับ คุณไมค์เทรดในตลาดหุ้นมามากกว่า 20 ปี รวมถึงเป็นโค้ชให้กับเทรดเดอร์มาแล้วมากกว่าหนึ่งพันคน เริ่มแรกผมเริ่มตามงานของคุณไมค์เพราะหลายปีก่อนได้ไปลงสัมมนาออนไลน์ในกลุ่ม NYC Meetup แล้วแกพูดดีมาก จนได้ตามงานแกเรื่อยๆ แกไปออกรายการเทรดหลายรายการ รวมถึง podcast ที่คุณไมค์ทำในตอนนี้ก็มีประโยชน์มากๆครับ
เขาได้รับอิทธิพลจากเทรดเดอร์ 4 ท่าน คือคุณ O’Neil, Minervini, Darvas, Livermore และโค้ชเทรดเดอร์ระดับโลกอย่างคุณ Van Tharp ครับ ฉะนั้นวิธีการก็จะคล้ายๆ กับเหล่าตำนานหน่อย แต่รายละเอียดปลีกย่อยก็จะมีจุดที่ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง
สไตล์การเทรดหลักของแกจะเป็นการเทรดที่ผสมระหว่าง Day Trading และ Swing Trading ในหุ้นที่แกร่งกว่าตลาดครับ
โดยแกจะมีส่วนที่นำหลักการของหุ้นแกร่งกว่าตลาดไปใช้ในการ Day-trade ใน Timeframe ย่อยเพื่อหากระแสเงินสดร่วมกับการลด Drawdown ของระบบรวมถึงเล่น Swing-Trade เพื่อกินคำที่ใหญ่ขึ้นครับ
ระบบนี้จะมีองค์ประกอบหลักอยู่ห้าอย่าง ตามอักษรของคำว่า “E A G L E” ครับ ระบบนี้เป็นระบบที่ไว้หาหุ้นที่จะพุ่งแรงในเวลาไม่นาน อย่างเช่น หุ้น Zoom, Teladoc และ Amazon เป็นต้นครับ
#E
= EXTRAORDINARY EARNINGS (ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่โดดเด่น)
อักษรตัวแรก E = EXTRAORDINARY EARNINGS ซึ่งมาจากผลกำไร และ/หรือ ยอดขาย และ/หรือ การคาดการณ์ผลประกอบการที่โดดเด่นอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นองค์ประกอบแรกในหุ้นทุกตัวที่คุณไมค์จะเข้าไปเทรด
ระดับไหนถึงจะเรียกว่าผลประกอบการที่โดดเด่น?
โดยส่วนใหญ่แล้วคุณไมค์มักจะมองหุ้นที่มีผลกำไรที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 25% QOQ และมีผลกำไรที่เร่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อดูจากไตรมาสที่ผ่านๆ มา จากนั้นจะมองที่ยอดขายของบริษัทว่ายอดขายจะต้องเพิ่มขึ้น 25% QOQ ขึ้นไป
จริงๆ แล้วจะมีทั้งผลกำไรหรือยอดขายอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แต่ถ้ามันมาพร้อมกันคุณไมค์จะสนใจเป็นพิเศษครับ
หรือถ้าไม่มีทั้งคู่แต่มีการคาดการณ์ผลประกอบการกำไรหรือยอดขายที่ดีขึ้นมากกว่า 25% แล้วกราฟราคาแข็งแกร่งคุณไมค์ก็สนใจเช่นกัน
ทำไมถึงสนใจหุ้นที่ผลประกอบการยังไม่ชัวว่ามันดีด้วย เอาที่กำไรชัวๆไปแล้วไม่ดีกว่าเหรอ?
คุณไมค์บอกว่าให้ลองไปดูหุ้นอย่าง Biotech หรือหลายๆ กลุ่มในประวัติศาสตร์ หุ้น Biotech ยังไม่มีผลประกอบการหรือยอดขายที่โดดเด่น แต่พวกมันมีความคาดหวังที่สูงลิ่วและหุ้นของพวกมันก็ขึ้นไปได้ไกล คุณไมค์ก็จะพยายามไม่ข้ามหุ้นพวกนี้ครับ ถ้ากราฟมาก็ไปเล่นกับมันด้วยแต่ก็จะเล่นไม่บ่อยเท่าหุ้นที่มีผลประกอบการที่เห็นชัดๆ
โดยส่วนตัวแล้วผมก็เทรดในหุ้นแบบนี้เช่นกันครับ หลายๆ ครั้งที่หุ้นในประเทศไทยหลายตัวก็ยังไม่ได้มีผลประกอบการที่ดีเท่าไหร่แต่มีความคาดหวังสูงและกราฟแกร่ง ผมก็จะลงไปเล่นด้วย แต่ก็จะเป็นการเล่นรอบไม่ได้ถือยาว (แล้วถ้าผลประกอบการดีตามมาก็อาจจะปรับ trade management ให้ถือยาวขึ้น) ซึ่งก็เหมือนกับคุณไมค์ที่เน้น Swing trading และ Day trading ซึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัยระยะทางมากนักในการทำกำไรต่อรอบครับ
#A
= AIM (เล็งเป้าหมาย)
A ย่อมาจาก Aim หรือการเล็งเป้าหมายครับ คุณไมค์บอกว่าเขาเล็งหารูปแบบการเทรดหรือ Setup ที่มีเปอร์เซ็นต์การชนะที่ดีควบคู่ไปกับการได้กำไรที่คุ้มค่าความเสี่ยง โดยศึกษาจากฐานราคาของหุ้นผู้ชนะในอดีตว่ามีรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กันอย่างไรบ้าง แล้วไปหาท่าเล่นหรือจับจังหวะการเล่นในระหว่างฐานราคานั้นๆ แกบอกว่าไม่ว่าคุณจะเทรดด้วยสไตล์ไหนก็ตาม หรือจะเป็นเดย์เทรดคุณจำเป็นจะต้องเข้าใจฐานราคาโดยเฉพาะของหุ้นผู้ชนะ เพราะฐานราคาถูกสร้างด้วยจิตวิทยามวลรวม ซึ่งได้แก่ความหวัง ความโลภและความกลัวในตลาด ซึ่งเรื่องพวกนี้มีรูปแบบและเกิดซ้ำค่อนข้างบ่อยตั้งแต่อดีตไปจนถึงปัจจุบัน และจะเกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ ในอนาคต
ปกติแล้วคุณไมค์จะรอให้เกิดฐานราคาและพฤติกรรมที่แกสนใจ แล้วรอจังหวะที่ความผันผวนต่ำ จนเห็นการฟอร์มของแนวรับแนวต้นที่แคบมากๆ แล้วแกจึงหาจังหวะเข้าไปเทรด คุณไมค์บอกว่าแกให้ความสนใจในด้าน Stop loss มาก คือจุดเข้าจะต้องไม่ห่างจากจุดที่แกคิดจะตัดขาดทุน แล้วจะต้องเป็นจุดที่มีแนวรับที่แข็งแกร่งอยู่เหนือจุดตัดขาดทุน ยิ่งเห็นแนวรับหลายระดับแกยิ่งมองว่าปลอดภัย แล้วถ้าแนวรับเหล่านั้นพังทลายลง แกก็ตัดขาดทุนได้อย่างไม่ลังเล แล้วการขายทำไรก็ทำให้ได้ 4R-6R ต่อรอบของการชนะ
ความคิดเห็นของผม ถ้าเราสามารถหาsetup ที่มีจุด cut loss ที่ค่อนข้างจะ tight คือ 2-3% การทำกำไร 4R-6R ก็จะไม่ยากเท่าไหร่คือประมาณ 8-12% ต่อรอบครับ ซึ่งถ้าเราเข้าในจุดที่โมเมนตัมมันเกิดหรือเข้าไปในจุดที่อุปสงค์มันชนะอุปทานไปเรียบร้อยแล้ว เราจะค่อนข้างจะประหยัดเวลาไปได้อีกเยอะ แล้วก็อาศัยการ turnover หรือการหมุนหุ้นมาเร่งผลตอบแทน แทนการได้กำไรครั้งละเยอะๆ ได้ครับ
#G
= Growth (การเจริญเติบโต)
G คือเรื่องของการเติบโต หรือประเด็นที่ทำให้หุ้นเติบโตครับ เช่น หุ้นตัวนี้อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในช่วงเติบโต, มีสินค้าและบริการใหม่ๆ หรือเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังมาแรงและมี innovation เหมือนๆ กับหุ้นอย่างพวก Zoom, Teladoc และ Amazon บริษัทเหล่านี้สร้างบางสิ่งที่โดดเด่น จึงไม่แปลกใจเลยว่าราคาของหุ้นพวกนี้ถึงไปได้ไกลหลายเด้ง
#L
= Leadership (หุ้นนำตลาด)
อักษร L ย่อมาจาก Leadership หรือหุ้นนำตลาดครับ คุณไมค์ชอบที่จะเล่นในหุ้นนำตลาด ดังนั้นทฤษฎีในการหาหุ้นนำตลาดอย่าง Relative Strength จึงสำคัญมากๆ ซึ่งคุณไมค์จะเทียบ Relative Strength ของหุ้นแต่ละตัวกับตลาด S&P 500 ครับ พอคุณไมค์หาหุ้นนำตลาดมาได้จำนวนหนึ่ง ก็จะลองเทียบตัวหุ้นเหล่านั้นกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ตัวไหนบ้างที่ outperform? ตัวไหนที่ underperform? คุณไมค์จะเล่นแต่หุ้นที่เป็น Leader หรือ outperform ตลาดเท่านั้น
#E
= Environment (สภาวะแวดล้อม หรือสภาวะตลาด)
สภาวะตลาดถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเล่นหุ้นในระบบของคุณไมค์เลยก็ว่าได้ครับ เขาจะมีระบบในการบอกสภาวะตลาด เมื่อตลาดเป็นตลาดกระทิง คุณไมค์จะพยายามซื้อหุ้นที่มีลักษณะเป็นขาขึ้นระยะยาว ถ้าสภาวะตลาดเป็นตลาดหมีก็จะเล่นในฝั่งชอร์ตแทน เขาคิดว่าการเล่นหุ้นในทิศทางเดียวกับตลาดนั้นง่ายกว่าจะไปเล่นสวนตลาด
ถ้าหากคุณเล่นหุ้นสวนตลาดหมี มันเหมือนกับว่าคุณเป็นปลาที่ว่ายทวนกระแสน้ำ ซึ่งเหนื่อยและยากกว่ามาก ทางที่ดีก็เล่นไปในทิศทางเดียวกับตลาด แล้วชีวิตของคุณในตลาดหุ้นจะง่ายขึ้นอีกเยอะ
ถ้าลองสังเกตระบบ “Eagle” ของคุณไมค์ มันก็จะคล้ายๆกับของ “CANSLIM” หรือ “SEPA” แหละครับ เพราะเขาก็ซึมซับมาจากเหล่า idol ของเขา และคุณไมค์ก็เริ่มเรียนการเทรดจาก Mike Webster ซึ่งเป็น Top Portfolio Manager ของ William O’Neil ด้วย มันจึงไม่แปลกที่แนวทางจะคล้ายๆ กัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยประสบการณ์การเทรดที่เพิ่มขึ้น เขาก็นำไปปรับรายละเอียดปลีกย่อยให้เข้ากับตัวของเขาเอง เช่นเปลี่ยนจากการรันเทรนระยะยาว เป็นมาเล่นสวิงเทรดควบคู่กับเล่นหุ้นเดย์เทรดซึ่งเหมาะกับตัวเขามากกว่าครับ
สรุปแล้ว เทรดเดอร์ในสายนี้ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันก็จะทำสิ่งที่คล้ายกันครับ คือ ศึกษา ทดลอง และเข้าใจพฤติกรรมของหุ้นผู้ชนะในประวัติศาสตร์ให้ได้ และหาหุ้นที่มีศักยภาพพอที่จะเป็นหุ้นผู้ชนะตัวต่อไป จากนั้นก็จะสร้างวิธีการเทรดที่สามารถสร้างกำไรที่คุ้มค่าต่อความเสี่ยงและเหมาะสมกับตัวเองเพื่อตักตวงผลประโยชน์ออกจากตลาดให้ได้อย่างสม่ำเสมอครับ
สุดท้ายนี้ก็อยากจะฝากคำถามเอาไว้ให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้ครับ
คุณเข้าใจรึยังว่าหุ้นที่ทำผลตอบแทนระดับสุดยอดในแต่ละปีของประวัติศาสตร์หุ้นไทยมีพฤติกรรมร่วมกันเป็นอย่างไร และตลาดมันทำงานอย่างไร ?
คุณรู้เพราะได้ศึกษามันเอง หรือคนอื่นว่ามันเป็นแบบนี้ ?
และคุณเข้าใจตัวตนของคุณจริงๆ รึยังว่าคุณควรลงทุนหรือเทรดในรูปแบบไหนเพื่อทำให้ตัวคุณสามารถมีความสุขและใช้มันได้อย่างเต็มศักยภาพจนสามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอออกจากตลาดได้ ?
เข้าใจให้ได้ว่าตลาดทำงานยังไง หาตัวตน พัฒนาเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมา และที่สำคัญคือพยายามให้มากพอ ถ้าหากคุณพยายามมากพอ ผมคิดว่าคุณจะหาคำตอบเหล่านี้ได้ในเวลาไม่นานนักครับ
โชคดีในการลงทุนและรักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ
Leave a Reply