A Guide to Super Performance บทสัมภาษณ์ของสุดยอดนักลงทุน ตอนที่ 1

by

in

ตอนที่ 1 MARK MINERVINI

Interview by Ben Hobson

ทางเพจก็ขอสนับสนุนเรื่องการอ่านบทสัมภาษณ์ โดยการแปลออกมาให้คนในเพจอ่านกัน โดยผมคิดว่าจะทำออกมาเป็น Series เลยโดยใช้ชื่อว่า “A Guide to SuperPerformance บทสัมภาษณ์ของสุดยอดนักลงทุน” โดยเริ่มจากคนที่ง่ายที่สุดก่อนคือ จารย์มาร์คนี่แหละครับ ฮาฮา ซึ่งคนต่อๆ ไปที่คิดว่าจะเป็นของสาย CANSLIM ก่อน แล้วก็พวกเหล่า Market Wizard และเหล่า Hedge fund Manager ระดับเทพกันนะครับ ยังไงก็ลองติดตามกันดูนะครับ

ช่วยบอกผมเกี่ยวกับวิธีที่คุณคิดค้นและพัฒนากลยุทธ์ของคุณหน่อยครับ

กลยุทธ์ของผมพัฒนาอย่างเรียบง่ายเพราะผมมีเงินน้อยในช่วงเริ่มต้น และผมต้องการเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเงินจำนวนมาก ดังนั้นผมจึงต้องหาวิธีการเทรดที่สามารถทบต้นเงินของผมอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเริ่มต้น ผมไม่สามารถทำการเทรดระยะสั้นหรือการเล่นสวิงเทรดเหมือนที่คุณทำในทุกวันนี้ได้ ในตอนนั้นค่าคอมมิชชั่นมากถึง $175 ต่อการเทรดแต่ละครั้ง ด้วยพอร์ตขนาดเล็กของผมในช่วงต้นของยุค 1980 ด้วยเงินไม่กี่พันเหรียญดอลลาร์ ผมไม่สามารถจ่ายค่าคอมมิชชั่นในการเข้า-ออกหุ้นแต่ละตัวมากนัก คุณต้องโทรศัพท์ไปหาโบรคเกอร์ของคุณ และเขาจะโทรไปหาใครซักคนบนฟลอร์ และมันเป็นกระบวนการที่ยาวกว่าปัจจุบันมากในการส่งคำสั่งการเทรดแต่ละครั้ง

ในอดีตเราต้องคอยหาการเคลื่อนที่ครั้งใหญ่ในหุ้นแต่ละตัว แต่ในตอนนี้คุณสามารถที่จะเทรดระยะสั้นและมันมีสภาพคล่องเยอะดังนั้นมันจึงมีการเข้าออกสถานะการเทรด การ Swing Trade และการ Daytrade มากขึ้น

ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา ผมได้ขัดเกลากลยุทธ์ของผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ผมได้ลงไปสู่ด้านของวิทยาศาสตร์ ในการเทรดมันคงยังเป็นเรื่องของศิลปะ แต่วิทยาศาสตร์ช่วยนำในเรื่องการคาดการณ์คร่าวๆ ออกมามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

กลยุทธ์ของคุณเน้นไปที่บริษัทที่เติบโต ในเชิงของปัจจัยทางพื้นฐาน อะไรคือสิ่งที่คุณมองหาในหุ้นตัวนั้นๆ

ในหนังสือของผมบอกไว้ทุกอย่างแล้วซึ่งมันดีกว่าที่ผมจะสามารถอธิบายออกมาในการสัมภาษณ์สั้นๆ อย่างไรก็แล้วแต่ ในด้านของปัจจัยทางพื้นฐาน ถ้าหากคุณลงทุนในบริษัทที่เติบโต แน่นอนเลยว่าคุณกำลังมองหาสัญญาณของการเติบโต มันไม่ใช่ว่าบริษัทจะทำผลกำไรเติบโตกว่า 30% ในไตรมาสที่ผ่านมาแล้วมันจะดึงดูดใจ จริงๆ แล้วมันสำคัญตรงที่ว่า บริษัทนั้นทำได้ดีมากกว่าช่วงก่อนหน้ามากแค่ไหน

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่เคยมีผลประกอบการเป็นขาดทุนแต่ในตอนนี้มันทำกำไรได้ที่ 10-15% นั่นเป็นพัฒนาครั้งใหญ่เลยจากสิ่งที่หุ้นตัวนั้นเคยเป็น ซึ่งมันอาจจะดีกว่ามากเมื่อเทียบกับหุ้นที่เติบโตในอัตราที่สูงแต่มีการเติบโตลดลงจากเดิม

ซึ่งบางครั้งมันทำให้นักลงทุนสับสน แต่นี่แหละคือการเติบโตในแบบที่คุณมองหา ตลาดวอลสตรีทชอบมันเมื่อมันทำออกมาได้ดีกว่าที่ความคาดหวัง และเมื่อบริษัทนั้นแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วเกินกว่าการคาดการณ์

ดังนั้นผมจะมองการเติบโตของกำไรที่มากขึ้นเมื่อเทียบในช่วงไตรมาสเดียวกัน แต่ในบางครั้งคุณจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางปัจจัยพื้นฐานครั้งใหญ่โดยที่มันอาจจะยังไม่แสดงออกมาในรูปของกำไร บางทีคุณอาจจะเห็นบริษัทที่ได้รับอนุมัติการทำตัวยาใหม่และคุณอาจจะยังไม่เห็นมันในกำไรของบริษัท ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับสถานการณ์และประเภทของกิจการ

ผมปฏิบัติต่ออุตสาหกรรมต่างๆ และประเภทของกิจการในแบบที่แตกต่างกัน นั่นจึงเป็นเหตุผมว่าทำไมผมถึงแยกประเภทของบริษัทออกเป็นสี่หรือห้าประเภท ซึ่งจะมี หุ้นผู้นำ หุ้นที่มีความสามารถทางการแข่งขันสูง หุ้นที่สถาบันชอบ และหุ้น Turnaround ซึ่งหุ้นทั้งสี่ประเภทนี้เป็นกลุ่มหุ้นที่ผมมักให้ความสนใจ จากนั้นคุณอาจจะมีหุ้นวัฎจักร ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นที่ผมมักจะหลีกเลี่ยง และอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการควบรวมกิจการผมก็มักจะหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านั้นเช่นกัน

คุณมีคำแนะนำอะไรสำหรับนักลงทุนในเรื่องการทำกลยุทธ์และการพัฒนาสไตล์การเทรด

หนึ่งในปัญหาของนักลงทุนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมือใหม่ คือในโลกของตลาดทุนมันมันมีข้อมูลจำนวนมาก ทำให้พวกเขารับข้อมูลมากเกินไป คุณสามารถทำกำไรจากตลาดหุ้นได้หลายวิธี และวิธีการของผมไม่ใช่วิธีเดียวที่จะทำเงินในตลาด มันแค่เป็นวิธีที่ผมเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และจดจ่อกับมันมาเป็นเวลาหลายปีซึ่งผมใช้มันได้ดี

มีนักลงทุนVI ที่ซื้อหุ้นที่ผมไม่เคยคิดจะแตะ และพวกเขาทำได้ดีในตลาด ขณะที่ผมซื้อหุ้นเติบโตใน P/E ที่สูงกว่าที่นักลงทุน VI คิดที่จะซื้อมัน แต่พวกเราทั้งคู่ก็สามารถประสบความสำเร็จในตลาดได้ กุญแจสำคัญคือการเข้าใจในกลยุทธ์ของคุณอย่างถ่องแท้ แต่คุณต้องทำให้มันแคบลงและหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวคุณจากนั้นก็ commit ในมัน คุณไม่ต้องเก่งในหลายๆ กลยุทธ์ คุณแค่ต้องมี commitment ในกลยุทธ์แบบหนึ่งและใช้เวลาในการเรียนรู้มันเพื่อให้คุณใช้กลยุทธ์นั้นได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งดีกว่าสามารถใช้กลยุทธ์ด้านหลากหลายแต่รู้แค่ผิวๆ คุณต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่คนที่รู้ทุกอย่าง แต่ไม่เก่งสักอย่าง

ถ้าคุณจะเล่น day trade มันจะเป็นวิธีที่แตกต่างกับการเป็นนักลงทุนระยะยาว ซึ่งกฎที่ต้องทำตามก็จะแตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญคือการมีกฎและกระบวนการเทรด

แน่นอนว่าผมต้องใช้เวลาหลายปี การประสบความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงชั่วค่ำคืน ผมทำมันได้ไม่ดีเกือบหกปีเต็มแต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็เริ่มที่จะคลิกสำหรับผม ในปัจจุบันนี้คุณเข้าถึงข้อมูลที่สามารถช่วยย่นระยะการเรียนรู้ของคุณให้สั้นลง

ในอดีตที่ผมเริ่มต้นเทรด ผมจำเป็นจะต้องไปห้องสมุด ผมอ่านหนังสือที่เก่าและล้าสมัย และมันไม่ง่ายเลยที่จะเข้าถึงข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างทุกวันนี้

สภาพแวดล้อมในการลงทุนเปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่คุณเริ่มต้นการเทรด คุณยังคงเชื่อหรือไม่ว่านักลงทุนรายย่อยยังคงมีความได้เปรียบแม้ว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Algorithm และ High Speed Trading เป็นต้น

แน่นอน! หากคุณถามนักลงทุนรายย่อยในปี 1930 ว่านักลงทุนรายใหญ่ นักลงทุนที่รวยและนักลงทุนสถาบันได้เปรียบหรือไม่ พวกเขาจะตอบคุณว่า “ใช่” หาคุณถามพวกเขาในปี 1950 1980 1990 คุณก็จะได้คำตอบเดิมๆ มันเป็นมาเสมอว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าเกมนี้เป็นเกมที่ไม่เป็นธรรมและผู้เล่นรายใหญ่มีความได้เปรียบ ในความเป็นจริงแล้ว มันค่อนข้างจะตรงข้ามกับความเป็นจริงเลย รายใหญ่ไม่ได้มีความได้เปรียบ พวกเขาเสียเปรียบด้วยซ้ำเพราะพวกเขาจำเป็นต้องลงใช้เงินจำนวนมากในการเคลื่อนไหวแต่ละครั้งและกระบวนการของพวกเขาก็ช้ามาก

นักลงทุนรายย่อยสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและมีข้อได้เปรียบอย่างมาก ยิ่งพอร์ตคุณเล็กเท่าไหร่คุณยิ่งจะได้เปรียบ ในทุกวันนี้คุณมีเคลื่องมือเกือบจะเหมือนอย่างที่มืออาชีพเขามี คุณเข้าถึงข้อมูลเดียวกัน เครื่องมือ ความรวดเร็วในการรู้ราคาและการกระทำของคุณนั้นดีเท่ากับผู้เล่นคนอื่นๆ ดังนั้นมันจึงเป็นเวลาที่ดีที่จะเป็นเทรดเดอร์หุ้นและมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ

วิธีการเทรดของคุณมีจุดเด่นของเทรดเดอร์ในตำนาน เช่น Jesse Livermore และ Stan Weinstein ใครที่เป็นแรงบันดาลใจในการเทรดของคุณและคุณได้เรียนรู้อะไรจากพวกเขา

ผมเจอ Stan Weinstein ในช่วงปี 1990 ที่งานอีเว้นท์การลงทุนครั้งใหญ่ในนิวยอร์ก เขาเป็นคนที่มีสีสันและสนุกสนาน ผมประทับใจในการมี passion เกี่ยวกับตลาดของเขามาก นั่นเป็นเวลาที่ผมเริ่มใช้เรื่องของแนวโน้มในการเทรด ผมตกผลึกในเรื่องนี้หลังจากที่ผมได้พบกับ Stan

หนึ่งในผู้มีอิทธิพลกับผมในช่วงเริ่มต้นอาชีพคือ Richard Love ซึ่งเขาเขียนหนังสือ Superperformance Stocks โดยที่ Richard Love และ William Jiler เป็นสองบุคคลที่เป็นกระดูกสันหลังทางด้านปัจจัยพื้นฐานและด้านเทคนิคของผมเลย Jesse Livermore ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อตัวผมมาก ผมสามารถพูดได้ว่าผมคือเวอร์ชั่นปัจจุบันของพวกเขาทั้งสี่ และผมรวบรวมและปรับปรุงสิ่งที่ดีที่สุดของพวกเขาเข้าไว้ด้วยกัน

Paul Tudor Jones ก็เป็นอีกคนที่ผมนำมาเป็นต้นแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของการบริหารความเสี่ยง เมื่อค่าคอมมิชชั่นนั้นลดลงและผมสามารถที่จะเทรดได้ไวขึ้นและถูกกว่าเดิม ผมจึงเริ่มนำกฎการเทรดที่ฟิวเจอร์เทรดเดอร์ใช้มาประยุกต์ใช้งานกับวิธีของผม นั่นคือการดุดันมากขึ้นในการเทรดหุ้นและนำเรื่องของวิธีทางคณิตศาสตร์เข้ามาใช้งานและลดความเสี่ยงอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่าผมเป็นนักเก็งกำไรที่ใช้ leverage สูงๆ

การบริหารความเสี่ยงเป็นส่วนสำคัญในกลยุทธ์ของคุณอย่างชัดเจนโดยเฉพาะการตัดขาดทุน ส่วนไหนที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ทำผิดเกี่ยวกับเรื่องของการบริหารความเสี่ยงและทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

เทรดเดอร์เกือบทุกคนผิดพลาดเพราะพวกเขามักจะไม่มีกลยุทธ์ที่ดีในการเริ่มต้น อีโก้ของพวกเขาสำคัญกว่าการทำเงินในตลาด และพวกเขาไม่รู้วิธีแยกความแตกต่างของทั้งสองสิ่ง เมื่อหุ้นลง พวกเขาไม่อยากที่จะเป็นฝ่ายผิด ดังนั้นเขาจึงรอจนกว่าหุ้นตัวนั้นจะกลับมา และการขาดทุนนั้นก็เลวร้ายลงเรื่อยๆ และก่อนที่คุณจะรู้ตัว คุณก็ขาดทุนหนักไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อมันเกิดขึ้นบ่อยๆ คุณก็เริ่มคิดที่จะโยนผ้ายอมแพ้ และเมื่อความเชื่อมั่นของคุณพังทลาย จากนั้นคุณก็พบกับจุดจบ

บางทีหลังจากนั้นพวกเขาอาจจะอ่านหนังสือเช่นของผมและตัดสินใจได้ว่าการตัดขาดทุนเป็นความคิดที่ดี พวกเขาลองทำมัน หุ้นร่วงลงมาและพวกเขาขายตัดขาดทุนออกมา จากนั้นหุ้นก็เด้งและขึ้นไปได้ไกล และพวกเขาจะคิดว่า “พระเจ้าช่วย ผมจะไม่ทำมันอีกแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่โง่”

ดังนั้นคุณต้องตระหนักว่าคุณไม่จำเป็นต้องถูกต้องทุกครั้ง ในความเป็นจริงแล้วคุณแค่ต้องถูกต้องเพียง 50% เท่านั้น คุณต้องบริหารความเสี่ยง มันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มันมีความเสี่ยงมากมายในการเทรดหุ้น

หุ้นทุกตัวมีความเสี่ยงและมันจำเป็นจะต้องถูกจัดการ เป้าหมายของการเทรดหุ้น คือ ทำการเงินจากหุ้นที่คุณชนะให้มากกว่าการขาดทุนจากหุ้นที่คุณแพ้ มันไม่ใช่เรื่องของการที่คุณจะต้องถูกต้องตลอดเวลา

สำหรับบางคนมันอาจจะใช้เวลาซักพักในการเปลี่ยนแปลงความคิดของพวกเขา แต่คุณต้องโฟกัสไปที่การหลีกเลี่ยงการขาดทุนอย่างหนักโดยการตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว

การจำกัดการขาดทุนเป็นหนึ่งสิ่งที่ท้าทาย แต่การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะขายเพื่อทำกำไรเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยาก คุณมีคำแนะนำอะไรในเรื่องของการถือหุ้นที่กำไรและเมื่อไหร่ที่เราควรจะขายมันออกไป

ในหนังสือใหม่ของผมได้พูดถึงมันไปหมดแล้ว มันคลอบคลุมกฎการเทรดทั้งหมดของผม และสิ่งที่คุณควรจะต้องพิจารณา ว่าจะตัดสินใจถือหุ้นตัวนั้นให้นานขึ้นเพื่อหวังกำไรก้อนใหญ่หรือไม่ รวมไปถึงว่าเมื่อไหร่คุณควรลดหรือขายหุ้นก่อนที่จะถึงจุดตัดขาดทุนของคุณ ซึ่งในหนังสือ มีบทหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับการขายทั้งหมด

สิ่งสำคัญคือคุณจำเป็นจะต้องมีกฎการซื้อขาย หากไม่มีพวกมัน คุณจะเทรดไปตามอารมณ์ และลางสังหรณ์ของคุณ ซึ่งผลลัพธ์ของมันไม่เคยดีเลยเมื่อคุณทำแบบนั้น ดังนั้นกฎที่คุณใช้ควรอยู่บนพื้นฐานของปรัชญาการลงทุนที่ดี ซึ่งหมายถึง การเสียสละ

ผมขอยกตัวอย่าง เช่นถ้าคุณอยากจะเป็น Swing Trader และคุณซื้อหุ้นที่ 20 แล้วมันขึ้นไปถึง 30 และคุณขายมันออกไป ถ้าหากหุ้นตัวนั้นไปต่อจนมันขึ้นไปถึงสามเด้ง คุณไม่สามารถที่จะอารมณ์เสียที่คุณขายมันไปก่อนได้เลย เพราะคุณได้บรรลุเป้าหมายของคุณเรียบร้อยแล้ว

อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าคุณเล่น Day Trading คนที่เป็น Day Trader เข้าออกสถานะทุกวันทุกคืน พวกเขาเข้าตลาดและ scalp ในหุ้นเพื่อการได้กำไรไม่กี่เพนนีหรือเงินเล็กน้อย หรือไม่ก็ครึ่งดอลลาร์ พวกเขาจะไม่อารมณ์เสียเลยเมื่อเขาขายหุ้นเพื่อได้กำไร 50 cents แล้ววันต่อมาหุ้นตัวนั้นขึ้นกว่า 5 เหรียญ เพราะว่านั่นไม่ใช่ Business Plan ของพวกเขา

มันเหมือนกับถ้าหากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวและคุณซื้อหุ้นที่ราคา $20 แล้วหุ้นมันขึ้นถึง $25 คุณพยายามที่ให้เวลากับมันเพื่อหวังกำไรก้อนใหญ่ แต่สุดท้ายหุ้นตัวนั้นกลับตัวลงมาจนคุณต้องตัดขาดทุนไปที่ $18 หรือ $19 แล้วตอนนี้คุณก็วิจารณ์สิ่งที่คุณได้ทำและคิดว่าคุณควรขายมันไปตั้งแต่ราคา $25

ผมขอย้ำอีกครั้ง หากคุณต้องการเล่นหุ้นเพื่อหวังกำไรก้อนใหญ่ คุณจำเป็นจะต้องเสียสละกำไรก้อนที่เล็กกว่าไป ถ้าหากว่าคุณเล่นสั้น คุณก็ต้องยอมเสียสละกำไรก้อนใหญ่ไป

คุณต้องกำหนดวิธีการเทรดของคุณ คุณต้องเรียนรู้ที่จะเสียสละและโฟกัสเฉพาะรูปแบบการเทรดที่คุณสนใจ ซึ่งทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับ framework ที่คุณได้วางมา แนวคิดทั้งหมดของวิธีการทางวิทยาศาสตร์นี้คือการขจัดอารมณ์และปัจจัยทางด้าน “โชค” ออกไปให้ได้มากที่สุด

แต่มันก็ยังมีการตัดสินใจจากสัญชาตญาณที่จะต้องทำ คือ จะซื้ออะไร ซื้อเมื่อไหร่ ซื้อเท่าไหร่ และเมื่อไหร่จะทำการขาย มีการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลาและคุณจะไม่ทำมันโดยอาศัยแค่หลักทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว มันยังคงเป็นศิลปะอยู่ ถ้าหากมันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ล้วนๆ อย่างงั้นคุณก็เพียงแค่เอามันไปใส่ Excel หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แล้วปล่อยให้มันรันระบบของมันไป มนุษย์ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปและความได้เปรียบในจุดนี้ก็จะหายไป แต่นี่คือความงดงามของการเทรด มันมีความเป็นศิลปะ และนั่นเป็นส่วนที่ท้าทาย แต่มันเป็นอะไรที่คุ้มค่าเช่นกัน

ปีไหนเป็นปีที่ดีที่สุดในการเทรดของคุณ และคุณได้ผลตอบแทนเท่าไหร่

ปีที่ยอดเยี่ยมเลยคือ ปี 1995 ปีนั้นผมทำได้ 412% แน่นอนในช่วง 90s ผมทำผลงานได้ดี ผมออกจากตลาดไปในช่วงปี 2000 และกลับมาใหม่ในปี 2004 และปีนั้นผมสามารถทำผลตอบแทนได้สามหลัก หลักจากนั้นผมก็ทำผลตอบแทนได้ดีมากและสม่ำเสมอมากๆ ผมไม่มีปีไหนเลยที่ทำผลงานติดลบในระยะเวลา 20 ปี ก่อนหน้านั้นพอร์ตของผมผันผวนมาก เมื่อผมทำได้ดีแล้วจากนั้นก็ทำให้กำไรนั้นหายไปในเวลาไม่กี่เดือนจากการเทรดที่แย่ ทุกวันนี้ผมเทรด conservative กว่าเมื่อก่อนมาก และไม่ได้ลงเงินทั้งหมดที่ผมมีในการเทรดเหมือนกับที่ผมเคยทำ ในช่วงเริ่มต้นที่ผมพยายามจะสร้างเนื้อสร้างตัว

เมื่อคุณมองย้อนกลับไป มีอะไรมั้ยที่โดดเด่น และเป็นช่วงโมเมนต์สำคัญในชีวิตการเทรดของคุณ?

ถ้าพูดถึงการเทรดครั้งเดียว ไม่มีเลย เพราะผมเทรดเป็นร้อยครั้งกับหุ้นเป็นพันตัว และความสำเร็จของผมก็ไม่ได้มาจากหุ้นที่ชนะเพียงตัวเดียว ผลตอบแทนของผมเป็นผลผลิตของความสม่ำเสมอและการเทรดจำนวนมากปีแล้วปีเล่า

เมื่อผมมองกลับไป ในช่วง 1980s และช่วงต้นของ 90s ผมเป็นนักลงทุนที่ถือสถานะยาวๆ เพื่อหวังกำไรก้อนใหญ่มากกว่าในสมัยนี้ มันเป็นผลให้ผมมีหุ้นที่ได้กำไรก้อนใหญ่ หุ้นตัวที่ผมซื้อในช่วงนั้น เมื่อคุณเห็นชื่อพวกมันคุณในทุกวันนี้คุณอาจจะร้อง อ๋อ เช่น Amgen, Dell Computer, Microsoft, Costco, Home Depot, Gap Stores และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ในช่วงเวลานั้น มีนักลงทุนจำนวนน้อยมากที่จะเคยได้ยินชื่อบริษัทเหล่านั้น ในตอนนั้นบริษัทพวกนี้เป็นเพียงบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อของมันไม่ได้คุ้นหู

หลังจากยุคนั้นมันก็ค่อนข้างจะพร่ามัวนะ เพราะ ผมซื้อขายเป็นจำนวนมาก และหุ้นก็เป็นเพียงแค่อักษรที่ผมใช้การเทรดในรายวันและสัปดาห์ไป

เมื่อเวลาผ่านไป ความทะเยอะทะยานและเรื่องที่คุณโฟกัสในชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

ผมตระหนักได้ว่าความปรารถนาของผมไม่เพียงแค่การเทรดเท่านั้นแต่เป็นเรื่องของการช่วยเหลือคนอื่นด้วย บรรณาธิการของผมบอกกับผมว่า ผมมีพรสวรรค์ในการเป็นครู ในตอนนั้นผมไม่ได้ตระหนักว่าผมจะทำมันได้ดี และมันไม่ใช่สิ่งที่ผมวางแผนไว้ว่าจะทำ

กลับไปในช่วงยุคปลาย 90s ผมเริ่มที่จะมีชื่อเสียงจากการที่ชนะในรายการ U.S. Investing Championship ทำให้ผมได้รับข้อเสนอโดยได้รับเงินจำนวนมากจากสำนักพิมพ์เพื่อเขียนหนังสือ แต่ผมก็ไม่ได้ทำมันเพราะผมไม่อยากเผย ”ความลับ” ในการเทรดของผมออกไป

ในตอนนั้นผมให้คำปรึกษาแก่สถาบันการเงินขนาดใหญ่และผมไม่เคยเห็นตัวเองจะทำอะไรกับนักลงทุนรายย่อยหรือมีผลิตภัณฑ์ หรือทำคอร์สสัมมนาเลย

สำหรับผมในตอนนั้น ผมแค่อยากจะเป็นเทรดเดอร์ และผมต้องการจะหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนั้นทั้งหมด เหตุผลที่ผมทำอาชีพเทรดเดอร์ในช่วงเริ่มต้น คือผมสามารถอยู่ในห้องของผมและรับผิดชอบต่อความสำเร็จของตัวผมเอง

แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อผมเริ่มคิดถึงเรื่องของการส่งต่อ เมื่อผมเขียนหนังสือเล่มแรกที่ผมไม่แน่ใจว่าจะมีใครชอบมันหรือไม่ จากนั้นผมได้ทำสัมมนาแล้วมันได้กลายเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ และผมก็ทำมันมาเรื่อยๆ นับแต่นั้น ดังนั้นผมจึงรู้สึกว่าความปรารถนาสูงสุดของผม คือการเป็นผู้ให้การศึกษา มันรู้สึกดีมากที่ได้เห็นผู้คนบอกผมว่า ผมได้ช่วยพัฒนาชีวิตของตัวพวกเขา

สิ่งหนึ่งที่ผมบอกกับเหล่าเทรดเดอร์อยู่เสมอ คือ ในขณะที่คุณอ่านเกี่ยวกับกลไกเบื้อหลังของผมตอบแทนระดับสุดของเหล่าสุดยอดเทรดเดอร์ คุณอาจจะไม่ได้รับความสำเร็จในแบบเดียวกัน เว้นแต่ว่าคุณจะรู้สึกว่าคุณสามารถทำมันได้ และมันสามารถที่จะเป็นไปได้ และคุณเชื่อมั่นในความสามารถของตัวคุณเอง

สิ่งสำคัญของผมในการเขียนหนังสือและจัดงานสัมมนา คือเพื่อมอบพลังแก่ผู้คนให้เขาเข้าใจว่า สิ่งที่เขาทำได้ไม่ใช่แค่เท่ากับที่ผมเคยทำได้ ด้วยความรู้ที่ไปที่ได้ไปจากผม เขาจะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า และดีกว่าที่ผมเคยได้ทำ สุดท้ายแล้ว ความเชื่อในความสามารถของคุณเองนั้นสำคัญกว่ากลยุทธ์ที่คุณใช้

บทสัมภาษณ์ของ Mark Minervini โดย Ben Hobson แปลและเรียบเรียงโดย Humble Trader Diary

ชอบไม่ชอบอย่างไร ฝาก comment ไว้ได้นะครับ รวมถึงถ้าใครอยากอ่านบทสัมภาษณ์ของนักลงทุนคนไหนเป็นพิเศษก็บอกมาได้นะครับ สุดท้ายนี้ฝากสนับสนุนเพจด้วยการกด Like + Share จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ

โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ