การจัดการความเครียดของอาชีพเทรดเดอร์

– การจัดการความเครียดของอาชีพเทรดเดอร์ โดย Humble Trader Diary –

จากเหตุการณ์ที่ตลาดตกค่อนข้างแรง คิดว่าน่าจะมีหลายคนเครียดกับการลงทุนหรือการเทรด หวังว่าบทความนี้จะช่วยพวกคุณได้บ้างนะครับ

“กุญแจสำคัญของการเทรดให้ประสบความสำเร็จ คือการมีความสงบนิ่งและวินัยในการเทรดแม้ว่าคุณกำลังจะเผชิญกับความเครียด”

– Paul Tudor Jones, Market Wizard –

ที่ผ่านมาผมคิดว่าเป็นปีที่นักลงทุนหรือคนที่เทรดค่อนข้างจะ “เครียด” กว่าในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะช่วงหลังโควิดที่ผมตอบแทนในหลายๆ ตลาดค่อนข้างไปในทิศทางที่ดี ไม่ว่าจะหุ้นต่างประเทศเมกา จีน เวียดนาม ตลาดเหรียญรวมถึงตลาดหุ้นไทยก็เช่นกัน แต่พอมาในช่วงปี 2022 หลายๆ ตลาดค่อนข้างจะพัง ตลาดที่กล่าวมาทั้งหมดค่อนข้างจะเจอกับความผันผวนและลงกันอย่างหนักจากพิษของสงครามและการขึ้นดอกเบี้ย ตลาดไทยปีที่แล้วไม่ลงแต่ก็ไม่ได้เป็นปีที่ง่าย ด้วยความที่ปกติเป็นคนที่ตอบ inbox ในเพจค่อนข้างจะบ่อยก็เลยได้พอรู้เรื่องราวของหลายๆ คนที่ปีที่แล้วค่อนข้างจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่สดใสไม่เหมือนที่คิดไว้ จนเกิดอาการเครียดสะสม วันนี้ก็เลยอยากจะเขียนเรื่องนี้ครับ ความเครียดในการเทรด และวิธีจัดการความเครียดในแบบของตัวผมเอง หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านครับ

อุตสาหกรรมของการลงทุนและการเทรดค่อนข้างจะเป็นที่ที่มีความเครียดที่สูงครับ ซึ่งมีอยู่หลายปัจจัยเลยที่ทำให้คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้เกิดความเครียด ยกตัวอย่างเช่น

1. ความผันผวนของตลาดทุน

    ด้วยความที่ธรรมชาติของตลาดทุนนั้น มีการขึ้นและลงหรือที่เราเรียกว่าความผันผวนจากปัจจัย 108 ที่มันไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตลาดเกิดความผันผวนอย่างหนักจากปัจจัยสำคัญต่างๆ เช่น จากนโยบายทางการเงิน การเมือง สงครามหรือข่าวที่มีผลกระทบต่อตลาดทุน ทำให้ราคาของสินค้าต่างๆ เคลื่อนที่ขึ้นลงอย่างรวดเร็วและไร้ทิศทางที่แน่นอน จนมันทำให้เกิดสภาพบรรยากาศที่มีความไม่แน่นอนสูงต่อนักลงทุนและเทรดเดอร์ส่วนใหญ่ในตลาด

    2. สภาวะที่ไม่สามารถควบคุมได้

      อย่างที่ได้กล่าวไปในข้อที่แล้ว พอตลาดอยู่ในจุดที่เราไม่สามารถคาดเดาทิศทางได้อย่างแม่นยำมันทำให้สภาวะจิตใจของมนุษย์อย่างเราที่อยากจะ”ควบคุม” สิ่งต่างๆ และต้องการความชัวหรือความมั่นคงกับทุกอย่างในชีวิตพ้งทลายลง สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่มั่นคงต่อสภาพจิตใจจนก่อให้เกิดความเครียดสะสมเมื่อสภาวะเหล่านี้ดำเนินต่อไปในระยะเวลาหนึ่ง

      3. ความคาดหวังในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

        แน่นอนว่าคนที่เข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ส่วนใหญ่แล้วก็หวังว่าจะได้เงินกลับไปเป็นของรางวัลกันทั้งนั้น เราถูกดึงดูดเข้ามาในตลาดจากคำพูดสวยหรูว่าตลาดการเงินจะทำให้เรารวยขึ้นและมอบอิสรภาพทางการเงินให้กับเรา แต่เมื่อเข้ามาจริงๆ แล้วมีบางจังหวะเวลาที่ตลาดเกิดความไม่แน่นอน เกิดความผันผวนอย่างหนักทำให้ความคาดหวังที่สร้างขึ้นมากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมันสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่หวังจะมีรายได้หลักหรือทำอาชีพในอุตสาหกรรมนี้ คนเหล่านี้ยิ่งได้รับผลกระทบหนัก ความกดดันทางการเงินที่ต้องการผลลัพธ์ทันทีเพื่อดำรงชีพทำให้คนเหล่านี้พบเจอกับความเครียดอย่างหนัก

        4. การจำกัดทางด้านเวลา

          เนื่องด้วยธรรมชาติของอาชีพเทรดเดอร์และนักลงทุนเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยการ “ชิงจังหวะ” เพื่อให้สามารถซื้อขายได้ตามราคาที่วางแผนไว้ในกลยุทธ์ โดยเฉพาะเทรดเดอร์ระยะสั้นที่ต้องอาศัยความรวดเร็วในการตัดสินใจเพราะจังหวะสวยๆ อาจจะมีเวลาให้คุณเข้าซื้อ-ขายแปปเดียวรวมถึงอาจจะต้องมีการตัดสินใจบ่อยๆ ในแต่ละวัน ซึ่งอาจจะรวมไปถึงนักลงทุนระยะยาวที่โอกาสทองในการซื้อหุ้นต่ำกว่ามูลค่าอาจจะมีเวลาให้เราตัดสินใจไม่นาน อย่างเช่น วันที่ 13 มีนาคม 2020 ที่ตลาดไทยดัชนีต่ำกว่า 1000 ครั้งแรกในรอบหลายปี สรุปว่าตลาดก็อยู่ต่ำกว่า 1000 ไม่ถึงชั่วโมงและจนถึงวันนี้ก็ไม่เคยต่ำกว่า 1,000 จุดอีกเลย ด้วยสภาวะจากตัวอย่างที่กล่าวมาจะพบว่าเทรดเดอร์และนักลงทุนจำเป็นจะต้องเจอกับช่วงเวลาที่บีบให้ต้องตัดสินใจ ซึ่งเรื่องพวกนี้สามารถทำให้เกิดความเครียดได้ง่ายๆ ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราต้องรีบตัดสินใจและผลลัพธ์มันเกิดสวนทางกับสิ่งที่คิดเข้าไปอีกก็ยิ่งเครียดคูณสองเลย

          จริงๆ ยังมีอีกหลายสาเหตุเลยที่ว่าทำไมคนในอุตสาหกรรมนี้ถึงเจอกับความเครียดได้ง่าย อย่างเช่น เรื่องของการแข่งขันและเรื่องของอารมณ์ แต่คิดว่าบทความมันจะยาวเกินเราไปคุยกันต่อเรื่องอื่นดีกว่าครับ

          ซึ่งความเครียดที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อนักลงทุนและเทรดเดอร์ในหลายทาง เช่นส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเราทำให้เราอารมณ์ขึ้นลง หัวร้อนไม่สามารถที่จะสงบนิ่งได้โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ตลาดผันผวนและกดดัน ความเครียดนั้นยังอาจส่งผลกระทบกับร่างกาย แน่นอนครับการที่เราอยู่ในสถาวะที่เครียดยาวนานอาจทำให้ร่างกายอ่อนล้า นอนไม่หลับหรือกระทั่งเกิดโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ และเมื่อร่างกายและอารมณ์ของเราไม่ดี สุดท้ายเรื่องพวกนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพในการตัดสินใจของเราจนเราไม่สามารถปฏิบัติตามแผนได้อย่างเต็มที่ ถ้าเราอยู่ในสภาวะนี้นานๆ รวมถึงเจอสภาวะตลาดที่ไม่เป็นใจทำให้ผลลัพธ์ที่ต้องการมันไม่ออกมา สุดท้ายเราก็จะหมดไฟในการเทรดจนอาจจะออกจากตลาดไปเพราะหมดใจไม่ใช่หมดตังครับ

          ดังนั้นใช่ว่าเทรดเก่งมีวิธีการที่ดีแล้วทุกอย่างจะง่ายเสมอไป เพราะถ้าเทรดระยะยาวหลายๆ ปียังไงก็จะเจอช่วงยากหรือช่วงที่ผลลัพธ์ไม่ออกอยู่แล้ว ดังนั้นการจัดการช่วงเวลาที่ยากลำยากหรือจัดการกับความเครียดจึงเป็นกุญแจสำคัญหนึ่งที่ทำให้อาชีพนี้เกิดความสม่ำเสมอได้มากขึ้นครับ

          ซึ่งผมก็มีวิธีในการจัดการความเครียดของอาชีพนี้มาฝากครับ ซึ่งก็มาจากที่ตัวเองใช้และที่เทรดเดอร์หลายๆ คนแชร์ทริคมาครับ

          1. การจัดการความคาดหวังของตัวเอง

            “ไม่คาดหวังไม่ผิดหวัง” เป็นสิ่งที่เราน่าจะได้ยินกันมาตั้งนาน โดยส่วนตัวมองว่าควาดคาดหวังเป็นเรื่องดีทำให้เรา drive ไปข้างหน้า แต่ความคาดหวังที่มากเกินไปต่างหากที่ทำให้เราเครียด ซึ่งเป็นเรื่องปกติ สังคมและคำโฆษณาหล่อหลอมให้เราเข้ามาในตลาดทุนด้วยความคาดหวังสูงปรี๊ดว่าเราจะเป็นอิสรภาพการเงินเหมือนกันไอดอลนักลงทุนต่างๆ แล้วพอความคาดหวังมันไม่ได้เป็นดั่งหวังเราก็เกิดความเครียด ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่กับเรื่องหุ้นแต่เป็นกับทุกๆ เรื่องในชีวิต ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องจัดการความคาดหวังของเราให้อยู่ในจุดที่เหมาะสม ซึ่งมันสามารถทำได้ดังนี้ครับ

            1.1 พยายามเข้าใจประวัติศาสตร์ตลาดทุนและธรรมชาติของมัน

            ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้มีแต่ช่วงที่ดี ตลาดขาลงหรือ event หลายอย่างก็ทำให้เราพินาศได้เหมือนกัน คนที่เขาเป็นตำนานหลายคนได้ผลตอบแทนระยะยาวเท่าไหร่ ปีที่ยากเขาเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้กลับมาดูตัวเอง ขนาดระดับโลกยังมีปีที่ไม่ได้ผลงานดี รวมถึงศึกษาพวกผลกระทบจาก event ต่างๆ เช่น การประกาศดอกเบี้ยนโยบาย ภัยสงคราม เพื่อให้เราเตรียมรับมือได้ดียิ่งขึ้น

            1.2 ศึกษากลยุทธ์ที่ตัวเองใช้และศึกษาข้อจำกัดของตัวเอง

            ความเชื่อของตัวผมเองคือทุกกลยุทธ์มันมีข้อจำกัดของมันทั้งหมด มันมีทั้งเวลาที่ดีมาก และเวลาที่ผลงานมันไม่ออกเมื่อเราเทรดไปนานๆ ดังนั้นเราต้องรู้จักมันอย่างดี รวมถึงตัวเราเองด้วย ไม่มีใครเก่งแต่เกิด ตลาดหุ้นมันมีหลายฤดู การที่เราชนะไม่กี่ปีไม่ได้การันตีว่าอนาคตเราจะชนะ ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องเข้าใจขีดความสามารถของตัวเองในปัจจุบัน ผมเคยเขียนแนวทางการศึกษาหุ้นในแบบของผมไว้ที่บทความนี้ครับ

            1.3 การรีวิวตัวเอง

            การรีวิวนั้นไม่ได้เพียงแต่ต้องรีวิวแต่ผลลัพธ์อย่างเดียว เพราะผลลัพธ์ที่ดีมันอาจจะไม่ได้เกิดจากเพียงตัวเราแต่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ตลาดมันง่ายจริง ทำให้ผลลัพธ์มันดีเกิดจริงและอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ดังนั้นผลลัพธ์ระยะสั้นไม่ได้การันตีว่ามันจะเป็นงี้ตลอดไป ดังนั้นเวลารีวิวต้องรีวิวในแง่ของคุณภาพและลงไปที่รายละเอียด ผลลัพธ์แบบนี้มาจากสภาวะแบบไหน เซตอัพอะไร เราตัดสินใจได้มีวินัยขนาดไหน การรีวิวเชิงคุณภาพจะทำให้เราอยู่บนความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น

            1.4 การโฟกัสไปที่เป้าหมายระยะยาว

            โดยปกติผมจะเทรดในระยะกลางและระยะไกล รูปแบบของผลตอบแทนจากกลยุทธ์ที่ผมใช้จะทำได้ดีในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลงที่ความผันผวนไม่ได้แรง แต่ประสิทธิภาพจะต่ำลงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนมาก ดังนั้นเวลาที่ตลาดมันเข้าจังหวะกับกลยุทธ์ที่ใช้ผลลัพธ์มันก็จะออกมาดี โดยส่วนตัวผมจะพยายามพึงระลึกในใจว่า เราต้องทำช่วงนี้ให้เต็มที่ เพื่อที่จะเอาเงินไปจ่ายในช่วงอื่นที่ไม่ดี การทำแบบนี้จะทำให้เราไม่ประมาทและคาดหวังอะไรแปลกๆ ซึ่งวิธีคิดนี้ผมว่าเหมาะกับคนที่เล่น trend following ในตลาดหุ้น เพราะ %win rate คุณไม่สูงนักหรอกภาพใหญ่ ช่วงปีไหน win rate ดี average gain ดี พยายามติดดินและรีบกอบโกย เพราะมันจะมีช่วงเวลาแต่คุณแพ้ติดกันเป็นระยะหนึ่งแน่นอน ดังนั้นมองไปที่ภาพใหญ่ครับจะได้ไม่เหลิง

            2. Cognitive reframing

              วิธีการนี้ผมฝึกทำมาได้ซักประมาณ 4 ปีจากงานเขียนของคุณ Frederick Saffore เจ้าของอันดับ 5 ในงานแข่งขัน U.S. Investing champion ปี 2019 พอดีแกอยู่ไทยก็เลยได้คุยกันบ้าง แกบอกว่า reframing เป็นวิธีที่ช่วยแกในการเทรดมากทำให้แกเครียดลดลงเยอะ จริงๆ Cognitive reframing เป็หนึ่งในวิธีบำบัดสุขภาพจิตที่จะช่วยให้เราบรรเทาอารมณ์ด้านลบให้ลดลง โดยการเปลี่ยนวิธีคิดต่อ สิ่งๆ หนึ่ง เช่น คน สิ่งแวดล้อม สถานการณ์ หรือปัญหาต่างๆ ให้สามารถมองมันในมุมที่แตกต่างได้เพื่อให้สภาวะทางอารมณ์ของเราเปลี่ยนแปลง

              จริงๆ แล้วมีวิธีการที่ค่อนข้างคล้ายกันมากที่ผมชื่นชอบและชอบลองมาปรับใช้คือวิธีของพี่ธนา เธียรอัจฉริยะ ที่ชื่อว่า “เกมคิดดี” ครับ ซึ่งเป็นเกมที่เราจะพยายามหา “ข้อดี” ของเรื่องต่างๆ ในชีวิตให้เจอ

              ซึ่งทั้งสองวิธีการจะไปบรรจบกันที่การทำให้เรามองโลกในแง่บวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางด้านการเทรดเราสามารถมองเรื่องที่เหมือนจะแย่ให้เป็นมุมมองแง่บวกได้มากยิ่งขึ้น เช่น

              • การมองการขาดทุนในแต่ละการเทรดเป็นเหมือนโอกาสในการเรียนรู้ แน่นอนครับว่าการขาดทุนมันอาจทำให้เราเจ็บปวดเพราะเราเสียเงินจริงๆ แต่ถ้าเราลองคิดอีกมุมมองว่า ไม่มีใครที่ไม่เคยขาดทุน แต่คนที่กำไรระยะยาวคือเขาเรียนรู้จากการขาดทุน ดังนั้นการขาดทุนแต่ละครั้งคือค่าเทอมให้เราเป็นนักลงทุน/เทรดเดอร์ที่เก่งขึ้น
              • ตลาดยากหรือช่วงเวลาที่เราทำเงินไม่ได้ มุมมองแบบนี้หลายคนจะเซ็ง เบื่อหน่ายและบางทีถ้าตลาดมันเป็นแบบนี้นานๆ ก็จะหมดไฟ ไม่อยากทำการบ้านและออกจากตลาดไป แต่ถ้าเราสามารถมองเรื่องพวกนี้เป็นความท้าทาย มองเรื่องพวกนี้เป็นการ stress test ของระบบที่คุณใช้แล้วหาทางแก้ไข คุณอาจจะได้ผลที่ต่างกันในตอนท้ายเลย คือคนที่มองแง่ลบก็ออกจากตลาดไป อีกคนได้ข้อมูลและสถานการณ์ที่ยากเพื่อไปพัฒนาระบบให้ robust ยิ่งขึ้น ตอนท้ายเทรดเดอร์สองคนนี้แตกต่างกันที่มุมมองเลย เหมือนอย่างที่มาร์คเคยพูดไว้ คือ “The winning trader sees a twelve-month bear market as twelve-months closer to a new bull market. The losing trader sees it as twelve wasted months and a reason to give up.”

              ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ลองหามุมดีๆ จากเหตุการณ์แย่ๆ ในช่วงที่ประกอบอาชีพนี้ดูนะครับ

              3. ลด drawdown ของระบบ

                Drawdown เป็นสิ่งหนึ่งที่ส่งผลเต็มๆ ต่อสภาพจิตใจของเทรดเดอร์ครับ แน่นอนว่าการจะไปถึงจำนวนเงินที่เราหวังไว้ มันไม่ได้เดินทางเป็นเส้นตรง แต่เกิดจากการขึ้นลง หรือการผันผวนของขนาดเงิน ซึ่งไอ้ความผันผวนของขนาดเงินนั่นแหละที่เป็นตัวการที่ทำให้เราเกิดความเครียด การได้เงินในท้ายที่สุดอาจจะไม่ใช่สิ่งดีต่อสุขภาพจิตของคุณถ้าในระหว่างทางมันขึ้นลงดั่งรถไฟเหาะ เดือนนี้ได้ล้านนึง เดือนนี้เสียห้าแสน เดือนหน้าได้อีกล้านนึง อีกเดือนขาดทุนล้านนึง ก็เหมือนวิ่งมาราธอนถึงที่หมายจริง แต่สะดุดล้มระหว่าง เข้าเส้นชัยนะแต่สุดท้ายก็ต้องไปรักษาบาดแผล ซึ่งโดยปกติจะเป็นเรื่องของการวางเรื่อง money management, การ rebalacing การ diversfication กลยุทธ์และสินทรัพย์ไปหลากหลาย รวมถึงการหาสภาวะตลาดที่ดีและแย่เพื่อที่เราจะได้ปรับหรือเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสภาพตลาด รวมถึงการบริหารความเสี่ยงก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยลด drawdown ลงไปได้ ซึ่งผมเขียนเกี่ยวกับการคุมความเสี่ยงที่นี่ครับ

                4. การออกจากตลาดชั่วคราว

                  สำหรับผมโดยปกติแล้วผมมอง “การเทรด” เป็นกีฬาประเภทหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่มันอาจจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย คือ กีฬามีช่วงเวลาการพักยาวๆ ที่ค่อนข้างแน่นอน เช่นการแข่งกีฬาอเมริกันเกม ฟุตบอล จะมีเวลาพักยาวคือช่วงปิดฤดูกาล แต่ในการเทรดเราไม่ได้มีเวลาพักที่แน่นอนยกเว้น เสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ อย่างมากก็ 5 วันคือช่วงปีใหม่หรือสงกรานต์ ดังนั้นเทรดเดอร์จะไม่ได้ถูกบังคับให้มีการพักทั้งร่างกายและจิตใจในระยะเวลายาวเลย ซึ่งหลายเรื่องมันต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรครับ ดังนั้นก็ออกจากตลาดชั่วคราวอาจเป็นทางเลือกที่ดีให้คุณได้ผ่อนคลายความเครียดของตัวเอง ซึ่งการเลือกช่วงเวลาพักก็สำคัญ วิธีที่ผมใช้คือผมต้องเข้าใจกลยุทธ์ที่ผมเทรดก่อนว่าช่วงเวลาไหนผลงานของมันจะ drop ผ่านการเก็บผลเช่น breadth หรือการนำ equity curve เทียบกับ market condtion แล้วพอเกิด condition นั้นก็พัก หรืออาจจะพักเมื่อตอนเราพบกับ drawdown หรือ consecutive losses ระดับหนึ่งอยู่ที่เราวางหมาก และช่วงที่เราพักอยู่ก็อย่าพักเฉยๆ ครับ สิ่งที่เราควรทำควบคู่กับการพักฟื้นคือ

                  4.1 ประเมินวิธีการในช่วงที่ผ่านมา

                  อย่างตัวผมจะมานั่งดู trade log และ diary ใน session ที่ผ่านมา เพื่อหา feedback แก้ไขสิ่งที่เราทำไม่ดี โดยส่วนตัวไม่ได้มองว่าการได้ผลลัพธ์ระยะยาวเกิดจากแค่การเทรดหน้างานอย่างเดียว ถ้าเราสามารถพัฒนาระบบหรือหาความรู้ในช่วงที่เราไม่ได้เทรด แล้วค่อยกลับเข้าไปเทรดตอนที่เราพร้อมมันอาจจะให้ผลที่ดีในระยะยาวกว่าการตะบี้ตะบันเทรดก็ได้ คล้ายกับคำพูดของคุณ Lincoln ว่า “Give me six hours to chop down a tree and I will spend the first four sharpening the axe.”

                  4.2 การประเมินสภาพตลาดก่อนเข้าไป

                  นอกจากเรากำหนดเรื่องของ period ในการหยุดเช่น หยุด 1 อาทิตย์ หยุดจนจบเดือน อีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถกำหนดได้คือ เข้าไปตอนช่วงตลาดเปลี่ยน condition จากเดิม เช่นถ้าตลาดพังหนักๆ ค่อนเข้ามาตอนตลาดยืนเส้น ema ได้ หรือถ้าเราดู breadth เป็นก็ช่วยได้ หรือดูfeedback จากหุ้นประเภทที่เราเล่นก็สามารถช่วยได้

                  4.3 อีกอย่างหนึ่งที่เราต้องเช็คซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือเรื่องของอารมณ์

                  อารมณ์เรากลับมาโอเครึยัง สุขภาพเป็นอย่างไร ถ้ายังเครียดจัดก็ต้องพิจารณาพักต่อ เพราะถ้าอารมณ์ไม่ดี การตัดสินใจเราก็จะแย่เหมือนอารมณ์นั่นแหละครับ

                  4.4 จากนั้นเมื่อคุณพร้อมทุกอย่างแล้ว อย่าเริ่มกดหุ้นเต็มข้อเกินไปนัก

                  ค่อยๆ step ไปเหมือนการวอร์มร่างกายก่อนวิ่ง เริ่มจาก 10-20% พอร์ตก่อนก็ได้ ถ้าfeedback เริ่มดี กำไรเริ่มมาก็ค่อยเติมเข้าไปเพิ่ม ถ้าแย่ก็เล่นเท่าเดิมก่อน

                  ส่วนเรื่องอื่นที่จะช่วยให้คุณลดความเครียดในการเทรดได้ก็จะเป็นเรื่องออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้พอ ทานอาหารให้ถูกหลัก หรือหาคนระบายรวมถึงอาจจะไปหาผู้เชี่ยวชาญทางนี้เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาครับ สำหรับผมอยากให้มองการเทรดไม่ใช่แค่เรื่องไปหาวิธีการอย่างเดียว การประกอบอาชีพนี้มันค่อนข้างต้องใช้เรื่องการจัดการส่วนอื่นๆ ด้วยเหมือนกับการทำงานประเภทอื่น ความรู้ได้ ใจก็ต้องได้ด้วยไม่งั้นงานก็ไม่เดิน ดังนั้นเราต้องคิดถึงเรื่องการจัดการความเครียดลงไปในส่วนหนึ่งของงานที่เราต้องทำตั้งแต่การออกแบบกิจวัตรประจำวันให้มีช่วงผ่อนคลายความเครียด เช่น การนั่งสมาธิ หรือการจัดการเวลานอนให้พอ วันนี้ก็มีเรื่องมาแชร์เท่านี้ครับ หวังว่ามันจะทำให้คุณเครียดน้อยลงจากการเทรดนะครับ สุดท้ายผมขอฝาก quote ของสุดยอดโค้ชเทรดเดอร์เกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ

                  “Stress is the biggest enemy of traders. Traders who can manage their stress will be the most successful.”

                  – Dr.Brett Steenbarger –


                  Comments

                  Leave a Reply

                  Your email address will not be published. Required fields are marked *