– กระบวนการเทรดหุ้นอย่างยั่งยืน โดย Humble Trader Diary –

บทความนี้เป็นบทความเก่าครับ เขียนตอนเริ่มเขียนเพจไม่กี่เดือนเลย คิดว่าหลายคนคงไม่เคยอ่านกัน ตอนนั้นคนตามเพจแค่พันกว่าคนเอง ครั้งนี้ผมเอามาปัดฝุ่นใหม่เขียนเติมหลายๆ อย่างเข้าไป ลองอ่านกันดูนะครับ
บทความนี้เป็นบทความที่เขียนเกี่ยวกับกระบวนการเทรดเบื้องต้นของตัวผมเองนะครับ ผมเคยแชร์ให้กับสัมมนาของโบรคที่นึงแล้วเอามาเขียนให้เห็นภาพมากขึ้น โครงที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้จะดัดแปลงมาจากที่ผมได้เรียนวิชาentrepreneurship กับที่ได้เรียนจากอีก 3 ท่านด้วยกันคือ
1. คุณ Lee Tanner , โปรเทรดเดอร์แคนสลิม ที่เขาใช้หลักการนี้มาตั้งแต่ช่วงยุค 00’sและเป็นคนฝึกเทรดเดอร์มือใหม่ให้ใช้แคนสลิมอย่างถูกหลัก
2. คุณ Matthew Galgani ผู้เขียนHow to Make Money in Stocks – Getting Started แล้วก็เป็นผู้จัด the IBD investing show
3. คุณ Mark Minervini US Investing Champion 2 สมัย
กระบวนการนี้จะเป็นองค์รวมที่คลอบคลุมไปเพื่อการเทรดหุ้นของผมและการพัฒนาตัวผมเองให้สามารถอยู่รอดให้ได้อย่างยั่งยืนในตลาดหุ้นครับ อาจจะไม่ได้ถูกหลักสำหรับบางคนเท่าไหร่ และก็ไม่ได้มี Knowledge วิชาการอะไรมารองรับว่ามันดี แต่คิดว่าสำหรับผู้ที่เริ่มต้นเขียนออกมาเป็นโครงร่างแบบนี้จะพอนำไปใช้ประโยชน์ได้บ้าง
กระบวนการเทรดหุ้นของผมจะคลอบคลุมตั้งแต่กิจกรรมก่อนเทรดไปจนถึงหลังเทรดนะครับ เพราะผมคิดว่าการเตรียมพร้อมที่จะเทรดและกิจกรรมที่ทำหลังจากที่เราเทรด มีความสำคัญไม่แพ้ช่วงที่เราต้องเทรด ผมไม่ได้มองแค่เรื่องการซื้อๆขายๆในเกมอย่างเดียว เหมือนกับนักกีฬาที่ต้องเอาใจใส่เรื่องของการซ้อมพอๆกับการแข่งในสนาม (เรื่องนี้เดี๋ยวจะมีบทความแยกไปนะครับ ค่อยอธิบายอีกที) ย้ำว่า อันนี้คือแบบที่ผมใช้เพราะมันเหมาะกับตัวผมและเป็นใน Product ที่ผมถนัด ถ้าเป็นคนอื่นคงต้องปรับไม่มากก็น้อย
กระบวนการเทรดของผมจะแบ่งด้วยกัน 6 ขั้นตอนใหญ่ๆ
1. การศึกษาหาความรู้และการเพิ่มศักยภาพ
2. การวางกลยุทธ์การเทรด
3. การสร้าง Watchlist หุ้น
4. การซื้อหุ้น
5. การขายหุ้น
6. การวิเคราะห์ผลการเทรด การบันทึก และพัฒนากระบวนการเทรด
เรามาลงรายละเอียดกันทีละขั้นนะครับ
1. การศึกษาหาความรู้และการเพิ่มศักยภาพ
การศึกษาหาความรู้ถือเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการการเทรดของผมครับ คล้ายกับการซ้อมของนักกีฬาในการเพิ่มสกิลของตัวเอง ตอนที่เด็กกว่านี้ผมจะวางเวลาในการศึกษาหาความรู้ไว้ที่ 90-100 ชั่วโมงต่อเดือน ตกวันละ 3 ชั่วโมงต่อวัน เสาร์-อาทิตย์ที่พอมีเวลาจากการพักจะได้ชั่วโมงเยอะหน่อย ทุกวันนี้โตขึ้นมันก็จะลดหลั่นลงแต่ก็จะพยายามให้ได้ชั่วโมงถึงสองชั่วโมงต่อวันครับ
สิ่งที่ผมอยากจะเตือนทุกท่านอย่างนึง (ความคิดเห็นส่วนตัว) เราต้องเลือกเนื้อหาที่เราจะเสพย์ครับ เนื่องจากทุกวันนี้ข้อมูลที่เผยแพร่ออกมามันมีอย่างไม่จำกัด แต่ตัวเรามีเวลาจำกัด โดยเฉพาะในด้านของตลาดทุนและการเก็งกำไรซึ่งในตลาดทุนมี % Success Rate ค่อนข้างต่ำ แสดงว่าข้อมูลที่ผ่านตาท่านทุกคนอาจจะไม่ได้มีต้นทางที่เขาสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอหรืออาจจะได้จริงเพียงบางจังหวะของตลาด ฉะนั้นการจะเลือกอ่านอะไรซักอย่างหรือนำไปใช้เราต้องคิดดีๆ รวมถึงข้อมูลที่ได้จากเพจของผมเองเช่นกัน
เพื่อขจัดปัญหาด้านบน ผมก็เลยเลือกวิธีการหาความรู้ที่เรียกว่า “Study Success” นั่นคือการเลือกสื่อที่เราคิดว่า เราสามารถหาหลักฐานและผลงานที่จับต้องของเขาได้หรือเขาประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราสนใจจริงๆหรือเขามีแนวทางที่ถูกต้อง ผมแบ่งการศึกษาหาความรู้เป็น 6 อย่าง
1.1 อ่านหนังสือหุ้นที่ดี
หนังสือที่ผมจะเลือกอ่านจะดูจากคนเขียน หรือที่เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จแนะนำให้อ่าน อย่าง Market Wizards ที่ผมเอามาอิงบ่อยๆนอกจากที่จะเป็นการให้บทสัมภาษณ์ของเทพแต่ละองค์แล้ว เรายังได้รู้ถึงตัวละครหรือระบบที่เขาใช้แล้วนำไปต่อยอดได้ เช่นเรานำชื่อของเขาหรือ Fund ที่เขาคุมไปเจาะต่อ นำกลยุทธ์ของเขาไปหาในที่อื่นต่ออีก ทำให้เราสามารถหา Source ที่เราสามารถเสพย์ข้อมูลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วก็เวลาอ่านอย่าไปแคร์จำนวนที่เราอ่านหนังสือได้ในแต่ละปีนะครับ บางทีการอ่านหนังสือไม่กี่เล่มที่มีคุณภาพอย่างละเอียดหลายๆรอบ อาจให้ผลลัพธ์ดีกว่าอ่านหนังสือเป็นร้อยๆเล่มก็ได้ สิ่งสำคัญคือทำให้ได้ต่อเนื่องและลองเอามาปรับใช้มากกว่า
1.2 อ่านประวัติ, บทสัมภาษณ์, คลิป, สัมมนา, Twitter ของคนที่ประสบความสำเร็จหรือเทรดเดอร์ที่เราสนใจ
ส่วนใหญ่ถ้าเขาดังจริงเราจะหาได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก (โดยเฉพาะเทรดเดอร์ต่างประเทศ) ผมอยากแนะนำอีกอย่างคือ คือการเปิดใจ ถึงแม้การเทรดของเราจะไม่ใช่แนวเดียวกับนักลงทุนท่านนึง เช่น คนที่เทรดเทคนิคเป็นหลักแล้วไม่คิดจะฟังนักลงทุนที่ใช้หลักการ VI ผมอยากแนะนำว่าให้ท่านลองรับฟังดู เช่น ดร.นิเวศน์หรือนักลงทุนที่ออก Money Talk บ่อยๆ นั่นเพราะว่าพวกท่านเหล่านี้ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นในระยะยาวจริงๆ สามารถหาหลักฐานความสำเร็จของพวกท่านได้ เราควรที่จะเปิดใจรับฟังถึงแม้ว่า Method ที่เราจะใช้จะต่าง แต่อย่างที่บอก Method เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการประสบความสำเร็จ (อย่างที่บทความก่อนๆเคยเขียนไป) อย่างอื่นเราสามารถได้รับประโยชน์จากพวกท่านได้หมด บางทีมันอาจจะมีประโยชน์มากกว่าการฟังคนที่เทรดในแนวทางเดียวกับเราแต่หาหลักฐานความสำเร็จของพวกเขาไม่ได้เลยหรือประสบการณ์ไม่มากพอ
1.3 ดูกราฟเก่าๆหรือข้อมูลการเงินเทียบกับกราฟว่าพฤติกรรมของมันเป็นอย่างไร
โดยเฉพาะดูหุ้นที่เป็น Big Winner เก่าๆว่ามันมีพฤติกรรมยังไงบ้างตั้งแต่ก่อนขึ้น ระหว่างขึ้นและตอนที่หุ้นตก ส่วนนี้จะช่วยในการ Develop สิ่งที่เรียกว่า Chart eye ทำให้เราพอจะจดจำพฤติกรรมของหุ้นช่วงที่ดีและไม่ดีได้ สิ่งหนึ่งที่คนรุ่นหลังๆเสียเปรียบคนรุ่นก่อนคือ พวกเรา “สบาย” กันเกินไปครับ เดี๋ยวนี้เราสามารถ Filter หุ้นได้หรือได้ข้อมูลกันมาง่าย เทียบกับคนรุ่นก่อนที่โปรแกรมมันไม่ได้ทันสมัยและมีข้อจำกัด หรือบางท่านต้องนั่งพลอตกราฟเองก็มี คนเหล่านี้เขาอยู่กับกราฟนานกว่าเรา เขาต้องนั่งไล่ดูทีละตัว ส่วนยุคนี้ดูแค่ที่เข้าแบบที่เราสนใจก็ได้ แต่ของแบบนี้ผมว่าดูเยอะก็ได้เยอะนะ ยิ่งถ้าเราอยู่ในช่วงฝึกก็ลองเก็บชั่วโมงตรงนี้ดูครับ
1.4 อ่านสิ่งใหม่ๆ ที่เราไม่ได้ถนัด
อ่านเพื่อหาโอกาสใหม่ๆหรือเพิ่มความกว้างขององค์ความรู้เราครับ เช่นเราเทรดหุ้นเป็นหลัก แต่ลองไปศึกษาสินค้าใหม่บ้างเช่น Forex, Crypto หรืออะไรที่เราสนใจ บางทีอาจจะนำมาพัฒนาต่อยอดหรือสร้างโอกาสอื่นๆให้เราได้ เหมือนคนที่เขาศึกษา Crypto ตั้งแต่เนิ่นๆก็ได้ประโยชน์กันไป แบ่งเวลาไปให้กับสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยบ้างจะได้เป็นการออกจาก Comfort Zone บ้าง หลังๆผมชอบฟังพวก Podcast ในหลายๆที่ก็มีประโยชน์เยอะเช่นกันครับ เอาจริงๆ ทุกๆ อย่างที่ผมเทรดในทุกวันนี้ เทคนิคการจัดการพอร์ตหรือการวาง risk โดนส่วนใหญ่มาจากแนวคิดของเทรดเดอร์ที่เทรดในตลาดฟิวเจอร์เกือบทั้งหมดเลย
1.5 วิเคราะห์การเทรดของเราเอง
ซึ่งแทบจะสำคัญที่สุดในการพัฒนาตัวเอง อันนี้ขอเขียนในส่วนหลังๆนะครับ
1.6 การเพิ่ม Productivity
อันนี้อาจจะไม่ได้เรียกว่าการหาความรู้ แต่เป็นการทำเพื่อที่เราสามารถศึกษาหรือทำ 5 ข้อด้านบนได้ดีขึ้น เช่น การนั่งสมาธิ, การออกกำลังกาย, การอ่านหนังสือ Mindset, การทานอาหารที่ดี การทำเรื่องพวกนี้จะช่วยให้เราอึดขึ้น ไวขึ้นและรับรู้ได้มากขึ้น ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการศึกษาของเราได้มากขึ้น ซึ่งผมก็พยายามทำในด้านนี้อยู่เหมือนกัน พออายุใกล้ 30 ก็เริ่มรู้สึกว่าแรงเราลดลงเยอะ (ปัจจุบันเกิน 30 แล้วสรุปแรงลดจริง 555)
การศึกษาผมจะปรับตามโอกาสนะครับ ช่วงที่งบออกหรือ Opp day ออกผมจะลดพวกนี้ลงไปดูงบดู Oppday บ้าง แต่ที่อยากให้ทำคือวางแผนก่อน เอาที่เราอยากทำมากองๆไว้ แล้ววางแผนพร้อมกำหนดเวลาที่เราต้องอ่านให้เสร็จด้วยเพื่อเราจะได้ไม่เฉื่อยเกินไป
100 ชั่วโมง ใน 1 เดือน
1,200 ชั่วโมงใน 1 ปี
3,600 ชั่วโมงใน 3 ปี
รับรองว่าเก่งขึ้นจากวันแรกที่เริ่มแน่นอนครับ ในปัจจุบันผมเขียนเรื่องเกี่ยวกับแนวทางการศึกษาหาความรู้เยอะขึ้นสามารถอ่านได้ที่บทความนี้ครับ
2. การวางกลยุทธ์
การวางกลยุทธค่อนข้างปัจเจกแล้วแต่คนนะครับ เพราะแต่ละคนมีความต่างในด้านของนิสัย, เวลา, การรับความเสี่ยง,ข้อมูล, ประสบการณ์และเป้าหมายในการลงทุน แต่ที่แน่ๆคือไม่ว่าคุณจะเทรดด้วยกลยุทธ์ใดก็ตาม มันจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย หรืออาจจะเหมาะในสภาวะหนึ่งแล้วไม่เหมาะกับในอีกแบบหนึ่ง โดยปกติเวลาเขียนกลยุทธ์ ผมจะแบ่งเรื่องของกลยุทธ์เป็น 6 ส่วนครับคือ
- ภาพรวมของกลยุทธ์
- ตัวคัดกรองตลาด
- วิธีการเทรด
- การจัดการเงินและความเสี่ยง
- เอกสาร ข้อมูลและเครื่องมือที่ใช้
- การจัดการกระแสเงินสด
ผมคิดว่าผมเขียนละเอียดมากๆ ในบทความนี้ครับ
สิ่งที่จะต้องหาก็คือ คุณต้องหาตัวเองให้เจอว่าคุณเหมาะกับอะไร และสิ่งที่คุณเหมาะมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร ช่วงเวลาที่ดีมันไม่มีปัญหาอะไรเทรดปกติ แต่เวลาช่วงที่กลยุทธ์เราไม่ถนัดเราจะทำยังไง จะเทรดต่อ, จะลดสัดส่วน, จะหยุดหรือจะเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด รวมถึงเราใช้อะไรเป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนกลยุทธ์ ยกตัวอย่าง ถ้าถนัดในการเล่นหุ้นระยะกลาง เวลาตลาดดีก็ถือหุ้นเต็ม พอตลาดเริ่มเป็นเทรนขาลงก็เพิ่มการถือเงินหรือถือเงินเต็ม
ถ้าไม่รู้จะเริ่มกำหนดยังไง อ่านหนังสือ หรือหาข้อมูลของคนที่เขาโปรหน่อย พอเสร็จเอามาปรับให้เข้ากับตัวเราครับ แล้วก็เวลาทำเรื่องพวกนี้ให้อยู่เงียบๆ คิดดีๆและทำอย่างจริงจังนะครับ เขียนมันออกมาเป็นแผนให้ได้อย่าเพียงคิดในใจว่าเราจะทำแบบนี้แบบนั้น ใครมีความสามารถที่จะทำเป็นระบบเทรดแล้วจะ Back-test/Forward-test ก็แล้วแต่ความสามารถของแต่ละท่าน
3. การสร้าง Watchlist หุ้น
การสร้าง Watchlist ที่เราสนใจก็แล้วแต่องค์ประกอบที่เราสนใจ พื้นฐาน เทคนิค ผมแนะนำว่าในแต่ละสัปดาห์ไม่ควรเกิน 20 ตัวนะครับ โฟกัสเกินนี้ค่อนข้างเหนื่อยและสิ่งที่สำคัญคือ Watchlist จะต้องทำให้เสร็จก่อนช่วงเวลาที่เราะจะต้องเข้าไปในเกม และอาจจะมีกำหนดแยกประเภทไว้ว่า อันนี้น่าสนใจ อันนี้ใกล้จุดที่ซื้อ แยกประเภทไว้ให้ดี และถ้าให้ดีอย่าพยายามเทรดนอก Watchlist เพราะแสดงว่าการเทรดนั้นเรามาวางแผนเทรดในช่วงระหว่างที่เกมมันเดินอยู่ Emotion มันจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการตัดสินใจของเรามากกว่าตัวที่เราวางแผนมาอย่างดีแล้ว Watchlist อัพเดตทุกวันได้ก็ดีครับ อยู่ที่ใครมีเวลาทำการบ้านได้หนักแค่ไหน
- หุ้นที่ผมมี จะกำหนดไว้ว่าเงื่อนไขการออกหุ้นคืออะไร จำนวนเท่าไหร่บ้าง
- หุ้นที่สนใจและใกล้จุดที่เราต้องตัดสินใจที่จะเทรด ต้องคิดไว้ด้วยว่าเราต้องเข้าจุดไหน เข้าเท่าไหร่ คิดเลขให้เสร็จตั้งแต่ก่อนเริ่มวันเทรด
- หุ้นที่เข้า Criteria เราแต่ยังไม่ใกล้จุดที่จะต้องตัดสินใจเทรด
ส่วนเรื่องขององค์ความรู้ในการสร้างตัว watchlist เลยมันค่อนข้างปัจเจกอยู่ที่คนเล่นว่าชอบเทรดหรือลงทุนหุ้นแบบไหน เช่น growth stock, turnaround stock, value stock, momentum stock เป็นต้น ทุกการเลือกมันค่อนข้างต่าง แต่สำหรับผมสิ่งที่เข้าใจจริงๆ คือ เราต้องเข้าใจให้ได้ว่าไอ้ส่วนผสมในการทำ watchlist เราเนี่ย มันจะนำพาให้เราสามารถทำเงินได้จริงมั้ย อย่างตัวผมเองก็จะศึกษามาให้เข้าใจจากการอ่านงาน backtest ต่างๆ academic researh แล้วก็จากเทรดเดอร์หรือนักลงทุนที่เก่งๆ ที่ผมสนใจแล้วเอามาปรับใช้จากการทำบันทึกการเทรดเก็บผล จริงๆ มีแนวคิดหลายแบบในการทำ watchlist ผมเคยเขียนไว้หลายงานลองอ่านได้ตาม link นี้ครับ
4. การซื้อหุ้น
ในส่วนนี้คือเราจะเข้าไปในเกมแล้ว Bill O’Neil เคยกล่าวว่า “ถ้าคุณซื้อหุ้นได้ดีคุณจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในการเทรดได้เกือบทั้งหมด” ฉะนั้นทำอะไรก็คิดให้ดีก่อนที่จะทำ
การซื้อหุ้นก็กางแผนที่เตรียม พอเข้าจุดเข้าซื้อตามที่วางก็ต้องซื้อ กำหนดจุดตามที่ถนัด เล่นหุ้นเบรค หรือรับหุ้นแนวไหน พยายามซื้อให้ได้ใกล้ที่สุดในจุดที่เราวาง อย่าไล่หุ้น ถ้าจะไล่จะต้องลดเงินลงแล้ววาง money management ใหม่ ผมแนะนำว่าให้วางแผนสำหรับการที่เราซื้อหุ้นที่เราอยากได้แล้วไม่ได้ในจุดที่กำหนดด้วยครับ ว่าจะไม่เล่นหรือลดขนาดเงินลง อย่าผิดแผน แค่อารมณ์ระหว่างเทรดมันก็เยอะมากพอแล้ว ยิ่งไปไล่หุ้นที่ผิดแผนจะยิ่งเข้าไปใหญ่ จะซื้อแบบไหนกี่ไม้ จะ Pyramid มั้ยกำหนดให้ครบ
5. การขายหุ้น
ในส่วนของถือหุ้นและทำการขายจะยากกว่าการซื้อ เพราะเรามี Position เรียบร้อยแล้ว มันจะมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวเยอะ สิ่งสำคัญคือการสร้างกฎการขายขึ้นมา (เขียนเบื้องต้นไว้ในบทแปลของ Scott O’Neil)
ส่วนที่ผมใช้ผมจะมองเป็นลำดับขั้นตามแบบที่ Mark Minervini สอน คือการมองหน้าที่เราเป็นลำดับขั้นและเล่นเกม”ป้องกัน”
ขั้นแรกที่เราเพิ่งเข้าหุ้นแล้วยังไม่มีกำไร สิ่งที่เราต้องคิดคือ การ “ป้องกัน” การขาดทุนหนัก คิดถึงแต่เรื่องของการบริหารความเสี่ยงไม่ให้ขาดทุนหนัก หรือการคัทลอส ผมเขียนเรื่องนี้ไว้ในบทความอย่างละเอียดยาวมากในบทความนี้ครับ
ขั้นที่สองคือ เมื่อมีกำไรมากถึงระดับนึงให้เรา “ป้องกัน” โดยการเลื่อนจุดสต็อปมาที่ทุนเพื่อไม่ให้การที่หุ้นของเราบวกไปแล้ว กลับมาทำให้เราเสียเงินอีก
ขั้นที่สามคือ ทำเมื่อได้กำไรถึงจุดที่คาดหวัง ก็ตัดสินใจที่จะ “ป้องกัน” กำไรที่เกิดขึ้น โดยตัดสินใจแล้วแต่แบบที่วางว่าจะทำกำไร ถือต่อรันเทรน หรือทำอะไรตามกลยุทธ์ที่วาง ผมแนะนำให้ทำการวางการขายแบบที่ทำให้เกิด Win/Win Situation หรือการแบ่งขายออกเป็นส่วน เราไม่จำเป็นต้องสุดโต่งในการถือหุ้นทั้งหมดไว้หรือขายทีทั้งหมดเลย เราสามารถแบ่งขายได้ เดี๋ยวเรื่องนี้ถ้าได้เขียนเพิ่ม จะกลับมาเขียนเป็นบทความแยกให้ครับ
แล้ววิธีการขายหุ้นต้องตัดสินใจตั้งแต่ก่อนที่คุณจะมีหุ้นนะครับ บริหารความเสี่ยงกับหุ้นนี้ยังไง แล้วหุ้นที่ถือนี้เทรดเพื่ออะไร เล่นช่วงสั้นหรือเล่นเพื่อถือในระยะที่ไกลกว่า และถ้าหุ้นตัวนั้นไม่เป็นไปตามแผนที่เรากำหนดเวลาไว้เราจะทำอย่างไรกับมัน เวลาก็สำคัญเช่นกัน ในหลายๆครั้งสำคัญกว่าเรื่องของราคา ถ้าเราเข้าแล้วไม่เป็นอย่างที่คิดในระยะเวลาที่กำหนด แสดงว่า Timing เราผิดเช่นกัน ต้องพิจารณาจุดนี้
สิ่งที่ผมไม่แนะนำคือการขายแบบ “กุกำไรจะขายตรงไหนก็ได้ตามที่กุสบายใจ” เพราะว่าถ้าเราไม่ขายตามหลักการหรือกฎที่เราสร้าง เราจะนำข้อมูลพวกนี้ไป Develop ต่อไม่ได้เลย จะเขียนผลการเทรดในการวิเคราะห์การเทรดว่ายังไงครับ “กุขายเพราะสบายใจ” แบบนี้เหรอ? มันเอาข้อมูลที่เรามีไป Develop ต่อยากครับ สิ่งสำคัญคือเทรด แล้วพัฒนาองค์ความรู้ขึ้นในระหว่างที่ทำการเทรดเพื่อให้เราเก่งขึ้นและอยู่รอดให้ได้
6. การวิเคราะห์ผลการเทรด การบันทึก และพัฒนากระบวนการเทรด
“พกสมุดไปเล่มนึงแล้วจดซะ แล้วสมุดนี้จะเป็นครูที่ดีที่สุดของเรา” ดร. ธีรธร ธาราไชย เคยพูดไว้ในงาน SiamQuant Conference 2015 ซึ่งเป็นคำพูดหนึ่งที่ผมได้ไปนั่งฟังสดแล้วจุดประกายให้ผมทำ Journal อย่างเข้มข้นครับ
ถึงในส่วน Process สุดท้ายคือทำวิเคราะห์ผลการเทรด และทำบันทึกการเทรด ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ผมคิดหลายคนไม่ได้ทำกันอย่างละเอียดเพราะมันไม่สนุก มันไม่เหมือนการเทรดที่เรามีอารมณ์ร่วมเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเราไม่ค่อยอยากดูในเรื่องที่ตัวเองผิดเท่าไหร่นัก
แต่ผมอยากเปรียบให้เห็นภาพอย่างนี้ครับ
ผมขอเปรียบการเทรดเป็นเหมือนกับการที่เราเล่นเกม MMORPG อย่าง Ragnarok หรือเกมอะไรซักเกม การที่เราไปตีมอนสเตอร์ซักตัวแล้วชนะมันได้ มันจะให้ค่า EXP และเงินกับเราอย่างอัตโนมัติ แต่ในส่วนของ Item ที่มอนสเตอร์ตัวนั้น Drop ลงมา มันจะหล่นมาในหน้าจอ เราต้องเลือกที่จะเก็บมัน หรือทิ้งมันไว้เพราะมันไม่มีค่ากับเรา การทำ Post Analysis ก็เหมือนกับ Item ที่มอนสเตอร์ Drop ครับ มันจะไม่มีค่าเลยถ้าคุณไม่เก็บมันขึ้นมา คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกครับว่าที่เราทำอะไรไปในเกม เราทำอะไรไปบ้าง เพราะเทรดมันเร็ว แล้วยิ่งคนที่เล่นระยะสั้น คุณต้องตัดสินใจต่อวันเป็น 10 ครั้ง คุณจำมันได้ไม่หมดหรอกถ้าไม่มาดูรายละเอียดย้อน นักกีฬาก็เช่นกัน เขาจำได้ไม่ทั้งหมดหรอกครับว่าตัวเองวิ่งไปเท่าไหร่ ตัดสินใจถูกมั้ย ส่งลูก เลี้ยงลูกถูกรึเปล่า พอจบเกมเขาถึงต้องมีโค้ชมาวิเคราะห์ให้หลังเกมว่าเราทำอะไรไปบ้างควรแก้ตรงไหน แต่ถ้าคุณเทรดส่วนตัว คุณต้องทำเองไม่มีใครมาทำให้ ถึงจะใช้โปรแกรมเก็บ Stat ก็ต้องมานั่งดูรายละเอียดแต่ละอันอีกที
สิ่งที่เราต้องเก็บไม่ใช่แค่ว่าเรากำไร ขาดทุนเท่าไหร่ อันนี้สำคัญจริง แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเก็บคุณภาพของการตัดสินใจว่าเราตัดสินใจถูกต้องตามแผนมั้ย โดยเฉพาะ discretionary trader ที่คุณภาพของการตัดสินใจเป็นสิ่งหนึ่งที่ตัดสินความสำเร็จ และอีกอย่างหนึ่งคือการหา Pattern ของความผิดพลาดที่เราทำขึ้นมา สิ่งที่เราผิดพลาดมักจะเป็นเรื่องเดิมๆที่เราทำอยู่บ่อยครั้ง ลองเก็บดู แค่การลดนิสัยที่เราทำผิดไปบางอย่าง ผลการเทรดระยะยาวของเราอาจจะดีขึ้นแบบที่คุณไม่เคยคิดเลยครับ ส่วนการทำบันทึกการเทรดผมแนะนำเข้าไปใน Youtube Channel ของพี่เอก Cwayinvestment หัวข้อการทำบันทึกการเทรดกับวิเคราะห์กับเทรด ซึ่งนั่นเรียกได้เป็นบทเรียนเกี่ยวกับการจดบันทึกการเทรดของผมที่แรกในไทยเลยที่เป็นต้นแบบการจดบันทึกของผมทุกวันนี้ครับ ถ้าเป็นในปัจจุบันผมเขียนเกี่ยวกับรายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับการจดบันทึกการเทรดของตัวผมครับ
สุดท้ายแล้วก็ทำให้ทั้งระบบเกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนโดยการวน Loop ครับ ทำทุกขั้นตอนให้เหมือนเป็นส่วนนึงที่เราต้องทำเพื่อให้เกิด Lifelong Learning คือเทรดไปด้วย แล้วก็พัฒนาตัวเองไปพร้อมๆกัน ไม่มีใครเข้ามาและจะเป็น God เลย คนที่เขาประสบความสำเร็จก็ล้มกันมาก่อนทั้งนั้น แต่อยู่ที่ว่าใครลุกไว เอาตัวรอดและพัฒนาตัวเองขึ้นมา จนพร้อมสำหรับโอกาสที่จะมาถึงครับ บทความนี้ก็เขียนยาวพอสมควร และเขียนตอนดึก อาจจะเบลอๆบ้าง เขียนผิดบ้าง ค่อยมาแก้ตอนเช้า วันนี้ก็ขอจบไว้แค่ตรงนี้นะครับ
ย้ำอีกครั้งว่า อันนี้คือในแบบที่ผมใช้ดัดแปลงมาจากคนที่ผมเอาเป็นต้นแบบ ไม่มี Knowledge หรือหลักการใดๆมาสนับสนุนความคิด อาจจะผิดในความคิดของบางคน แต่ถ้าใครเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ก็ลองเอาไปปรับใช้กันนะครับ
โชคดีในการลงทุนครับ
ชอบไม่ชอบอย่างไรฝากกด Like กด Share ด้วยนะครับ ถ้ามี Comment ยังไงเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยตรงไหน หรืออยากให้เขียนเกี่ยวกับเรื่องอะไรเพิ่ม ถ้ามีความสามารถพอจะเขียนจะพยายามเขียนให้ครับ
Leave a Reply