– ตลาดมักบอกใบ้เราเสมอ ภาค 2 การปรับใช้งาน โดย Humble Trader Diary –

พอดีมีบทความนึงที่หลายๆคนมักถามเข้ามาตลอดตั้งแต่ผมเริ่มทำเพจ เป็นบทความที่คนค่อนข้างให้ความสนใจและได้รับ Feedback กลับมาเยอะ ความเห็นค่อนข้างหลากหลาย ฉะนั้นเพื่อให้หลายๆท่านเข้าใจมันมากขึ้น ผมก็เลยเขียนบทความนี้เพิ่มขึ้นมาครับ
งั้นเรามาเริ่ม Part 2 กันเลยครับ
หมายเหตุ : โดยส่วนตัวแล้วผมเองจะไม่ค่อยอยากแชร์ หรือพูดเกี่ยวกับหุ้นไทยแบบเจาะจงรายตัวลงในเพจเท่าไหร่นัก เพราะมันจะเป็นการชี้นำมากเกินไป (ซึ่งถ้าใครอ่านบทความทั้งหมดมา ผมยกหุ้นไทยในบทความนับครั้งได้เลย หรือไม่ก็เป็นหุ้นไทยที่เหตุการณ์เกิดขึ้นนานแล้ว ส่วนใหญ่จะเอาตัวอย่างหุ้นฝรั่งให้ดู) แต่เพื่อเป็นการอธิบายให้ทุกคนเข้าใจและนำไปปรับใช้กันง่ายขึ้น ผมจะขอยกตัวอย่างหุ้นไทยโดยที่จะเอามาจากช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งห่างจากเวลาปัจจุบันเป็นเวลา 2-3 เดือน (ถ้ามีการยกตัวอย่างหุ้นไทยในบทความถัดๆไป ผมก็ว่าจะทิ้งระยะห่างจากปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 2-3 เดือนครับ)
เรามาเริ่มทวนหลักการจากบทความที่แล้วกันก่อน
“หุ้น 80-90% ในตลาดจะแสดงพฤติกรรมเดียวกับดัชนีของมัน”
ถ้าตลาดลงหนัก หุ้นส่วนใหญ่จะลงหนัก ถ้าตลาดเป็นเทรนด์ขาลงระยะยาว หุ้นส่วนใหญ่ก็จะพังเป็นแนวโน้มขาลงไปพร้อมกับตลาด
ส่วนที่ตลาดหุ้นเกิดการปรับฐานหรือเป็นขาลง แล้วมีหุ้นที่สามารถยืนอยู่ได้โดยที่ไม่ลงเหวไปกับตลาดหรือหลายตัวที่ขึ้นสวนทางเลยหุ้นเหล่านี้เรียกว่า “หุ้นที่แกร่งกว่าตลาด”

เรามาดูหุ้น “GULF” ในช่วงปีที่แล้วกันครับ
ในช่วงต้นปี ถึงช่วงต้นเมษายน GULF ลงไปตามตลาดที่ตกหนักมาก จากนั้นก็ Rebound กลับขึ้นมาในช่วงเมษายนถึงพฤษภาคมตาม SET ที่ Rebound จากนั้น SET กลับมาตกหนักอีกครั้งจนตัวของ SET เกิด Lower low แต่เราลองมาดูภาพของ GULF กัน
ผมได้วงกลมเทียบเอาไว้ 2 จุดแรก ปรากฏว่า GULF ลงไปเช่นเดียวกับตลาดเหมือนกัน แต่ไม่ได้ลงหนักเท่ากับตัว SET ถ้าเปรียบเทียบกันแบบไม่ละเอียดนักก็เรียกได้ว่า GULF ตกลงไปแถวราคาเดิม
พอ SET มีจังหวะได้ Rebound ในช่วง ก.ค. ถึงต้น ต.ค. GULF ขึ้นไปเกือบถึงจุดที่เป็น ATH ถ้าเราลองมาเทียบดูครั้งสุดท้ายที่ GULF ราคาแถว 78-79 บาท ครั้งก่อนหน้าคือช่วง SET อยู่แถว 1830 กว่าๆ แต่ครั้งนี้ดันกลับมาที่ 78-79 บาทเหมือนเดิมโดยที่ SET ต่ำกว่าเดิม 60-70 จุด แสดงว่าโดยภาพรวมแล้ว GULF นั้นทำผลงานได้เหนือกว่าตลาด
เรามาดูกันต่อ ตลาดเกิดการปรับฐานอีกครั้ง โดยผมขอทำจุดเทียบเป็น 3 จุด คือ ตลาดเกิดการทำ lower low แต่เราลองมาดูที่ GULF ครับ เราจะพบว่าทั้ง 3 จุดของ GULF นั้นแทบจะไม่ลดต่ำลงเลย อีกทั้งที่จุดสุดท้ายยังสูงขึ้น
มันแสดงให้เห็นว่า เวลาตลาดไปทางไหน GULF จะแสดงพฤติกรรมคล้ายคลึงกัน แต่ว่าเมื่อตลาดตก GULF จะตกน้อยกว่า แล้วถ้าตลาดเริ่มยืนหรือขึ้น GULF จะขึ้นหรือขึ้นมากกว่าครับ

จากนั้นตลาดก็กลับมาเป็นมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นปี เราลองมาดู GULF กันครับ เบรค All-time high (เทียบแบบราคาปิดวัน) ไปเลยทั้งที่ตลาดอยู่ในจุดแทบที่จะต่ำสุดของรอบ แล้วก็ขึ้นไปได้ค่อนข้างดี โดยในช่วงกลางเดือนก.พ.-มีนาคม ตลาดเริ่มย่ออีกครั้ง แต่เราลองมาดูที่ GULF ปรากฎว่า จุดเปรียบเทียบที่ 8 และ 9 นั้นราคา GULF สูงขึ้น ทั้งที่ตลาดเริ่มย่อลง
ก็จะประมาณนี้ครับ เหตุการณ์เป็นอย่างไรต่อก็ทุกคนน่าจะพอทราบกัน
เราลองมาดูกันอีกตัวคือ EGCO ครับ

ในช่วงปลาย ก.ย. 17- มี.ค. 18 จะมีความ Lagging กับตัว SET นะครับ คือ SET ปรับฐานแล้ว EGCO ย่อแรงกลับแล้วพอ SET เริ่มเบรคในช่วงธันวาคม 2017 EGCO ไม่ได้เบรคตามจนกว่าจะเบรคตาม SET ไปก็ช่วงมีนาคม 2018 ซึ่ง SET กำลังจะใกล้จะเป็นขาลง
แต่เราลองมาดูในช่วงตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจนถึงช่วงกันยายน จะพบว่า EGCO มันค่อนข้างที่จะดีขึ้นในด้านของความแข็งแกร่ง โดยที่ SET เริ่มเป็นขาลง เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าช่วง ก.ค. SET ดำดิ่งลงไปหนักมาก แต่ EGCO นั้นออกข้างโดยที่ก้นของฐานราคานั้นแทบจะอยู่ที่จุดเดิม และมีความพยายามจะขึ้นมาเบรค All Time High อีกรอบในช่วงที่ตลาดเริ่มดีขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะตลาดเริ่มกลับมาลงอีกครั้ง
พอครั้งหลัง ผมขอเทียบเหมือนกับตอนที่เปรียบเทียบ GULF นะครับ โดยใช้ วงกลม สามบริเวณ เราจะพบว่าที่ SET จุดแต่ละจุดจะต่ำลงไปเรื่อยๆ แต่เราลองมาดูสภาพของ EGCO นั้น ที่ทั้งสามบริเวณมันยกตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งกว่าตลาดอย่างชัดเจน
ถ้าเราลองมาดูจากกราฟด้านซ้ายไปขวา เราจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงด้านความแข็งแกร่งของกราฟราคา EGCO คือในฝั่งซ้ายคือ มันแย่กว่า SET จนมาช่วงกลางๆเริ่มดีขึ้น และในภายหลังเราจะเห็นได้ว่ามันดีกว่า SET อย่างชัดเจน
ผมไม่รู้ว่าจริงๆแล้วชาวบ้านเขาเรียกว่าอะไรนะครับ แต่โดยส่วนตัวผมจะเรียกมันว่า มันเกิด ”การพัฒนาของกราฟราคา”

พอเวลาผ่านไปตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง EGCO ก็วิ่งไปได้ค่อนข้างดีครับ เราจะเห็นได้ว่าช่วง ก.พ. ตลาดมีการออกข้าง EGCO ก็ออกข้างเหมือนกันแต่ซักพักก็ไปต่อโดยที่ SET นั้นเริ่มตกลง แสดงให้เห็นว่า EGCO เป็นหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาดอย่างชัดเจน

ต่อไปเป็นส่วนของการนำทฤษฏีมาใช้ครับ
จากที่ยกตัวอย่างมาก็น่าจะพอเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นนะครับว่าหลักการนี้มันเป็นอย่างไร ต่อไปก็จะเป็นส่วนที่เราจะต้องนำมันไปใช้ ซึ่งเป็นส่วนที่หลายๆคนถามมาเยอะว่า รู้แล้วว่ามันประมาณนี้ แต่จะใช้อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ ต้องบอกว่าเรื่องที่ผมได้แชร์มันเป็นเพียงแค่การให้เราสามารถหาหุ้นเล่นได้หรือ Filter หุ้นใน Watchlist เราให้แคบกว่าเดิม แต่มันไม่ได้รวมถึงวิธีการซื้อ หรือ Trade management ซึ่งผมเชื่อว่าหลักการพวกนี้สามารถนำไปปรับใช้ได้หมดไม่ว่าคุณจะเล่น breakout, buy on dip หรืออะไรก็แล้วแต่ รวมถึงเทรดระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว
ผมจะยกตัวอย่างของการใช้หลักการนี้ ร่วมกับองค์ความรู้อื่นมาผสมกัน โดยจะเลือกความรู้จากหลักการที่เคยเขียนแชร์ไว้ในบทความเก่าๆของผมครับ โดยที่ผมจะใช้หลักการนี้ ร่วมกับ
- การดูสภาวะตลาด จากบทความการดูสภาวะตลาดโดยรวมในตลาดหุ้น สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ
- จุดเข้าซื้อ จากบทความ The CANSLIM Chart Reading: Cup-With-Handle สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ
ผมจะยกตัวอย่างในหุ้น BTS ครับ

เราจะพบว่าในช่วงปี 2017 ที่ตลาดกระทิงสุดๆ หุ้น BTS เป็นหุ้นที่ laggard มากคือมันไม่ไปไหนเลย แล้วในช่วงต้นของปี 2018 ตลาดขึ้นแต่หุ้นลงด้วย แต่พอมาในช่วงมี.ค. เมษา. ตลาดเริ่มลง แต่ BTS พุ่งเป็นจรวด แล้วก็เริ่มอีกย่ออีกครั้งเมื่อตลาดตกหนักในช่วงเดือน ก.ค. จากนั้นเหตุการณ์ก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ผมทำจุดสังเกตไว้ เราลองมาดูที่ SET เราจะพบว่า SET ต่ำลง แต่ BTS นั้น สูงขึ้น ในช่วงที่เราเห็นพฤติกรรมอย่างนี้ ผมแนะนำให้ทุกคนไปลองหาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นที่มีพฤติกรรมแบบนี้ต่อ เช่นปัจจัยพื้นฐานหรืออะไรก็แล้วแต่
จะเห็นได้ว่าถ้าเราสามารถสังเกตเห็นพฤติกรรมแบบนี้ได้เร็ว เราจะมีเวลาในการทำการบ้านนานมาก
พอเสร็จแล้วตลาดดำเนินไปต่อ เราจะพบว่า BTS มีลักษณะที่คล้ายกับ Cup with handle (มองไม่ออกไม่เป็นอะไรนะครับ มันเป็นเรื่องของ art ซึ่งแต่ละคนมองไม่เหมือนกัน) โดยในช่วง 30 วันหลัง BTS ฟอร์มตัวในกรอบแคบอยู่ในกรอบ 9.4-9.7 บาท จากนั้น ตลาดเกิดสัญญาณ Follow Through day (FTD) และเบรค MA 50 day เราลองมาดูที่ BTS ในวันที่เกิด FTD

BTS เกิดการเบรคส่วนหูจับ พร้อมกับปริมาณซื้อขายที่หนาแน่น ก็จะเป็นจุดซื้อขายตามตำรา
ราลองมาดู BTS ในช่วงปิดสัปดาห์นั้น ในTF Week ซึ่งเป็นภาพใหญ่

เราจะพบว่า องค์ประกอบของ BTS นั้นเป็น Cup with handle ที่สมบูรณ์ครบถ้วน คือ
- มี Prior Uptrend ทั้งที่ตลาดเป็นขาลง
- มีการสะสมมากกว่าการกระจาย (Accumulation > Distribution)
- เส้นสีดำคือ RS Line จะพบว่า RS LINE ของ BTS นั้น เบรคไปนานแล้วก่อนที่กราฟจริงจะเบรคอีกเป็นเดือน
- Story + พฐที่รองรับ
- มีการรับด้วย EMA 10 + EMA 40
- มีช่วง Tight area ในฐานราคา
- จุดเข้าซื้อเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่สัญญาณ FTD เกิดขึ้นซึ่งบ่งบอกว่าตลาดอาจจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น
- Volume หนาแน่น ในวันที่เข้าซื้อ และในสัปดาห์ที่เข้าซื้อเมื่อเทียบกับ Volume เฉลี่ย

จนจบช่วงไตรมาสแรกพบว่า BTS ไปได้อย่างสวยงาม เบรค All time high ตอนช่วง 2015 ไป พอตลาดมีการออกข้าง BTS ก็ยังสามารถขึ้นไปได้ต่อ
ตัวอย่างการใช้ก็จบประมาณนี้ครับ จริงๆอยากยกหลายอันๆ แต่ขี้เกียจทำรูป 555

อันนี้ก็แค่ยกตัวอย่างการใช้หลักการนี้แบบง่ายๆ โดยยกวิธีจากบทความเก่าๆมาผสม จริงๆแล้วหลักการการดูตลาดกับหุ้น สามารถปรับใช้กับวิธีการเทรดได้หลากหลาย หลายๆท่านที่ผมเคยแชร์ในสัมมนาซึ่งเล่นด้วยวิธีที่แตกต่างกับผม ก็นำไปใช้แล้วให้ผลที่ค่อนข้างโอเคครับ สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำเพิ่มเติมสำหรับการใช้หลักการการดูตลาดกับตัวหุ้นรายตัวในการเทรดนั้น มีอยู่ 3-4 ข้อครับ
1. Embrace Market Correction
คือการยอมรับหรือโอบรับตลาดขาลงครับ เราต้องยอมรับว่าการเทรดหรือการลงทุน มันไม่ได้มีแต่ช่วงที่ตลาดขึ้นอย่างเดียว แต่มันจะมีทั้งช่วงที่ลง ลงหนัก หรือ sideway ไม่ไปไหน ซึ่งสิ่งที่เราต้องทำก็คือ ยอมรับมันครับ หาวิธีอยู่กับมัน จัดการมัน และที่สำคัญที่สุด “อยู่รอด” ในตลาดขาลงให้ได้ ส่วนใหญ่เทรดเดอร์ที่ผมศึกษามา ไม่ได้มีความเก่งกาจในเรื่องของการหาหุ้นต่างจากนักลงทุนส่วนใหญ่เท่าไหร่ แต่ที่เขาทำได้ดีกว่าใครเลยคือ เขาหลบตลาดขาลงเก่ง หรือ เขาอยู่รอดได้
2. Pay Attention
หลังจากที่เรารอดแล้ว สิ่งที่เราต้องทำคือ เอาใจใส่หรือใส่ใจ เพราะหลักการของการดูตลาดและหุ้นรายตัวจะแสดงพลังสูงสุดของมันในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง เพราะมันจะเหลือรอดเพียงไม่กี่ตัว จากนั้นเราก็แค่ใส่ใจหาพวกมันให้เจอ ทำการบ้านและศึกษาพวกมันอย่างละเอียด
3. Buy it Right
จากนั้นก็เข้าซื้อมันในจุดที่ดี ที่เหมาะกับความถนัดของแต่ละท่าน แต่ละคนไม่เหมือนกัน คุณต้องฝึกและหามันให้เจอ การอ่าน Knowledge หรือองค์ความรู้มันไม่ได้ทำให้คุณลงทุนหรือเทรดเก่งขึ้นทันที การเทรดและการลงทุนมันอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับการเล่นกีฬา คือ คุณไม่สามารถที่จะอ่านตำราเกี่ยวกับบาส เพื่อให้ชู๊ตบาสแม่นได้ สิ่งที่คุณต้องทำคือ ชู๊ตมันเข้าไปในท่าที่ถูกหลักจนกว่าคุณจะแม่น ซึ่งการเทรดหรือการลงทุนนั้นไม่ต่างกัน
4. Respect Risk
ไม่ว่าคุณจะเอาหลักการไหนก็ตามมาใช้ ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า มันไม่มีอะไรที่จะเป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป จะใช้เครื่องมืออะไรก็แล้วแต่เราต้องหาแนวทางการแก้ปัญหาเผื่อเอาไว้สำหรับทุกสถานการณ์ อย่าเอาอะไรที่ไม่แน่นอนมาคอนเฟิร์มสิ่งที่ไม่แน่นอน ฉะนั้นก็ Respect risk นะครับ
ในวันนี้ก็มีเรื่องจะมาแชร์เพียงเท่านี้นะครับ จริงๆแล้วอธิบายเป็นตัวหนังสือค่อนข้างยากหน่อย ถ้าเอานิ้วไปชี้แล้วอธิบายทีละขั้นตอนมันจะง่ายกว่านี้เยอะเลยครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้อ่านครับ
Leave a Reply