ตลาดมักบอกใบ้เราเสมอ (Part1)

– ตลาดมักบอกใบ้เราเสมอ by Humble Trader Diary –

บทความนี้ผมเคยไปแชร์ให้กลุ่มเทรดกลุ่มนึงแล้ว วันนี้เอามาเขียนเป็นบทความให้พอได้แนวคิดครับ แนวคิดนี้ได้มาจาก Joe Fahmy ที่พูดในงานของ ChartSummit และ David Ryan จากสัมมนา Actionable Insight นะครับ

ถ้าใครตามอ่านงานของ 2 ท่านนี้มาจะรู้ว่าทั้ง 2 ท่าน เทรดโดยนำ Criteria ทางด้านปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคมาใช้ในการประกอบการตัดสินใจ แต่สิ่งที่ทั้งสองท่านมักพูดอยู่เสมอคือ ให้สังเกตที่ตลาดกับหุ้นรายตัวในตลาด โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ปัจจัยอื่น เช่น พื้นฐานหุ้น หรืออินดิเคเตอร์ต่างๆนาๆ เราก็พอจะสามารถหาหุ้นผู้ชนะในอนาคตได้ครับ ซึ่งวันนี้ผมจะขยายหลักการนี้ โดยเอามาเขียนในแบบง่ายๆ โดยที่คนไม่ได้ศึกษาทางด้านนี้มาก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ ลองดูกันครับ

เรามาพูดถึงหลักการง่ายๆกันก่อน

ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือที่เราเรียกว่า SET INDEX (SET) มันคือดัชนีราคาที่สะท้อนหุ้นทุกตัวในตลาด เพราะมันถูกคำนวณจากราคาหุ้นทุกตัวในตลาดมาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก จึงไม่แปลกเลยที่เราจะเห็นได้ว่าถ้าวันไหน SET ขึ้นแรง หุ้นในตลาดก็มีความน่าจะเป็นขึ้นแรง ถ้า SET ตกหนักเราก็จะเห็นหุ้นเกือบทั้งตลาดตกหนัก โดยเฉพาะถ้า SET เป็นขาขึ้นระยะยาว หุ้นก็จะขึ้นกันยกใหญ่ เราจะเทรดกันง่าย แต่ถ้า SET กลับตัวเป็นขาลงระยะยาว คนที่ Long หุ้นก็จะเริ่มเล่นยากละ จนมีคนบอกว่า

“หุ้น 80-90% ในตลาดจะแสดงพฤติกรรมเดียวกับดัชนีของมัน”

แล้วไอ้ 10-20% จากที่เหลือหละคืออะไร ?

ถ้าตลาดหุ้นเป็นตลาดกระทิง แล้วไอ้ 10-20% ที่มันทำตัวแปลกแยกไม่ขึ้น มันจะโดนเรียกว่า “หุ้นล้าหลัง” หรือถ้าใครติดหุ้นพวกนี้อยู่อาจจะใช้ถ้อยคำหยาบๆก็แล้วแต่คนครับ

ส่วนที่ตลาดหุ้นเกิดการปรับฐานหรือเป็นขาลง หุ้นไอ้ 10-20% ที่สามารถยืนอยู่ได้โดยที่ไม่ลงเหวไปกับตลาดหรือหลายตัวที่ขึ้นสวนทางเลยหุ้นเหล่านี้เรียกว่า “หุ้นที่แกร่งกว่าตลาด”

หุ้น ”แกร่งกว่าตลาด” พวกนี้จะเป็นหุ้นที่เหล่า Momentum Traders หรือ Canslim Investors ชอบมาก เพราะมันโดนทดสอบมาแล้วว่าพฤติกรรมที่”แกร่งกว่าตลาด” คือคุณสมบัติหลักของ “หุ้นผู้ชนะในอดีต” หรือ “the stock market’s biggest winners”

ผมก็เลยลองเรื่องพวกนี้กับตลาดหุ้นไทยเลยว่า ถ้าเราดูแค่ตลาดกับหุ้นรายตัวเราจะพอหาหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบที่ดีให้เราในอนาคตได้มั้ย

ผมจะใช้กราฟแค่เพียง2อย่างนะครับ คือกราฟ Barchart ด้านบนคือตัวหุ้น ที่ Timeframe สัปดาห์ (Week) และกราฟด้านล่างคือตัวดัชนี Set index ณ เวลาเดียวกัน

หุ้นตัวแรก ลองมาดูที่ตัว Set Index ก่อน ที่ลูกศรแดงทิ่มลงอันแรกคือจุดสูงสุดของรอบ ส่วนลูกศรแดงทิ่มลงที่ตัวหุ้นคือราคาณเวลาเดียวกับที่ Set ทำจุดสูงสุดครับ เมื่อเวลาผ่านไป เราจะสังเกตเห็นว่าตลาดเป็นขาลงชัดเจน แต่หุ้นตัวนี้มีลักษณะที่ Sideway หรือออกข้าง ทั้งที่ตลาดลงหนัก จนเหตุกาณณ์ดำเนินไปจนถึงจุดลูกศรสีเขียว ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของตลาดรอบนั้นก่อนที่จะกลับมาเป็นตลาดขาขึ้นนะครับ ลองมาสังเกตที่ตัวหุ้นกันบ้าง ณ จุดลูกศรสีเขียว ตัวหุ้นแสดงตัวในทิศทางตรงข้ามกับตลาด คือ Sideway ออกข้างแต่พอใกล้ช่วงที่ตลาดจะกับเป็นขาขึ้น หุ้นตัวนั้น Break High ของตัวเองไป หรือยกlow ของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ แล้วพอตลาดกลับมาเป็นขาขึ้นจริงๆ หุ้นตัวนี้ก็วิ่งไปได้ไกลและเป็นหุ้นที่ Outperform ในตลาดรอบนั้น แล้วพอเวลาผ่านไปตลาดกลับไปเป็นขาลงอีก หุ้นตัวนี้ก็ทำพฤติกรรมเดิมครับ แข็งแกร่งกว่าตลาดแล้วพอใกล้ช่วงที่ตลาดสิ้นสุดขาลงหุ้นตัวนี้ก็เริ่มเบรคจุดสูงสุดของตัวมันเอง พอตลาดเป็นขาขึ้น หุ้นตัวนี้ก็พุ่งขึ้นไป Outperform ตลาดเช่นเดิม

หุ้นตัวที่ 2 ก็มีลักษณะคล้ายๆกัน เรามาดูที่ตลาดก่อน ที่ลูกศรทั้ง 3 อัน มันต่ำลง แสดงว่าตลาดเมื่อเวลาผ่านไป มันทำ Lower low แต่พอมาดูที่ตัวหุ้น ที่จุดลูกศร 2 อันแรกจะพบว่าจุดที่ 2 จะทำ Lower Low เช่นกันแต่ไม่ได้ห่างกันเท่าไหร่ แต่พอที่่ลูกศรที่ 3 หุ้นมันกลับยก Low ขึ้นโดยที่ Low ที่3 อยู่สูงกว่าLow แรก พอตลาดกับมาเป็นขาขึ้น หุ้นตัวนั้นขึ้นไปมากกว่า 300%

หุ้นตัวที่ 3 ทำอย่างเดิมนะครับ ไม่น่าจะต้องอธิบายเท่าไหร่แล้วเพราะมันเกิดพฤติกรรมเดิมๆ คือตลาดเป็นขาลง แต่หุ้นกลับ Sideway แล้ว Break High ในช่วงปลายของตลาดขาลง จากนั้นก็ฟอร์มฐานราคาที่แข็งแกร่งแล้วก็เบรค All time high สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ที่มี

หุ้นตัวที่ 4 ตลาดเป็นขาลง ผมทำเหมือนเดิม คือ หา low ทั้ง 3 ครั้งของตลาดที่เป็น lower low แล้วพล็อตกับหุ้นตัว จะเห็นว่า Low ของหุ้นนั้นสูงขึ้น แสดงว่าถึงแม้ตลาดจะลงหนักก็ไม่สามารถทำอะไรหุ้นตัวนี้ได้เลย แล้วพอตลาดขาลงสิ้นสุด หุ้นตัวนี้ก็ทำพฤติกรรมตามอย่างหุ้นผู้ชนะ คือ Break high สร้างผลตอบแทนมากมาย ขนาดที่ว่าพอตลาดเริ่มอยู่ใกล้จุดสูงสุดของรอบ หุ้นก็ยังยก Low ขึ้นเรื่อยๆ (ตามลูกศรอันหลัง) สุดท้ายพอตลาดเป็นขาลงอีกครั้ง หุ้นตัวนี้ดันเบรคจุดสูงสุดขึ้นเรื่อยๆแล้วทำ พฤติกรรม Climax top จบรอบของมัน

หุ้นตัวที่ 5 เป็นหุ้นที่เพิ่ง IPO ในตอนนั้น จะพบว่าหุ้นมีลักษณะเป็นขาขึ้นหลังจากที่ผ่านสัปดาห์แรกของการเข้า IPO ไป ทั้งๆที่ตลาดหุ้นยังเป็นขาลงอยู่ จนถึงจุดลูกศรสีเขียวที่เป็นจุดกลับตัวของตลาด หุ้นตัวนั้นอยู่บริเวณ All time high ของตัวมันเอง และสร้างผลตอบแทนที่ Outperform ตลาดในรอบนั้น

หุ้นตัวที่ 6 ผมจะเริ่มอธิบายน้อยแล้วนะครับ เพื่่อให้ผู้อ่านลองดูพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองแล้วพิจารณาจากข้อมูล Chart ก่อนๆที่ผมให้ไป

ลักษณะมันคล้ายๆเดิมใช่มั้ยครับ

หุ้นตัวที่ 7

หุ้นตัวที่ 8 ตลาดมีลักษณะเป็น Sideway โดยผมลองมาพลอตลูกศร 3 จุด จะพบว่าlow ของตลาดอยู่ไม่ห่างกันมาก แต่ low ของหุ้นยกสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนระดับหัวแถวในปีนั้นครับ

หุ้นตัวนี้ก็เป็นหุ้นที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่าหุ้นนางฟ้า ลองมาดูพฤติกรรมของมันก่อนที่ตลาดจะกลับตัวเป็นขาขึ้นครับ

ตัวอย่างก็หมดเพียงเท่านี้นะครับ เอาตัวอย่างมาให้เห็นหลายๆตัว จากตลาดในหลายๆรอบเพื่อให้เห็นภาพว่าลักษณะของหุ้นแบบนี้มันเกิดขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอน หุ้นที่ผมนำมาให้ดูคือ “หนึ่งในหุ้นผู้ชนะของตลาด” รอบนั้นๆ

สิ่งที่ผมได้อธิบายไปคือ รากของแนวคิด Relative Price Strength ที่เดี๋ยวนี้นักลงทุน Momentum trader นำไปประยุกต์ใช้กันมากมาย และเราสามารถใช้เป็น Criteria หนึ่งในการหาหุ้นเข้า Watchlist ได้ ที่ผมอยากเอามานำเสนอเพราะ มันง่ายมากครับ ใครจะทำก็ได้ไม่ว่าจะมือใหม่หรือมือเก่า สามารถนำไปต่อยอดไม่ว่าตัวเองจะเทรดแบบไหนไม่ว่า Daytrade, Swing trade หรือ Position trade สิ่งที่เราต้องทำคือ นำไปดูว่ามันเข้ากับวิธีที่เราใช้มั้ย แล้วถ้าเราจะใช้ก็ต้องฝึกฝนกับมันจนกว่าเราจะถนัด

แต่สิ่งที่เราต้องไม่ลืมเลยคือ ไม่ใช่ว่าหุ้นที่เราดูมันเกิดพฤติกรรมนี้แล้วเราจะหวดหมดหน้าตัก อย่างที่เคยบอกไว้ว่ามันไม่มีอะไรจะสมบูรณ์ 100% เพราะมันเป็นแค่ปัจจัยนึงเท่านั้น สิ่งที่่เราต้องต้องทำคือ บริหารความเสี่ยงและหาจุดที่เป็น low risk/high return เพื่อให้เราได้จุดที่เป็น good bet รวมถึงใช้องค์ประกอบอื่นในการประกอบการตัดสินใจร่วม เช่น ปัจจัยพื้นฐานหรือ indicator ที่เราถนัดมาช่วย

จริงๆ ที่ผมอยากจะสื่อกับนักลงทุนโดยเฉพาะกับมือใหม่คือ อย่ากลัวหุ้นที่มันอยู่สูงครับ มันอยู่สูงเพราะมันมีเหตุผลเสมอ ถ้าคุณตัดหุ้นที่มันแข็งแกร่งกว่าตลาดไป คุณจะพลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนระดับ outperform กว่าครึ่งไปแน่นอน

สุดท้ายนี้ผมขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดของ David Ryan จาก Actionable insight webinar ครับ

“บางครั้งคุณไม่ก็จำเป็นต้องฉลาดหรือพยายามทำอะไรที่จะทำให้คุณรู้ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น สิ่งที่คุณต้องทำจริงๆ คือสังเกตว่าตลาดบอกคุณว่าหุ้นตัวไหนแข็งแกร่งที่สุดและหุ้นผู้นำจะปรากฏออกมาให้คุณเห็นเอง”

ตลาดมักบอกใบ้กับเราเสมอ…