แนวทางศึกษาการเทรดหุ้นของผม (Part 1)

– แนวทางศึกษาการเทรดหุ้นของผม Part 1 โดย Humble Trader Diary –

มีคนมาถามว่าจะเริ่มต้นเทรด/ลงทุนหุ้นยังไง หนังสือเล่มไหนดี แล้วมีแนวทางยังไง หนังสือหุ้นไม่ว่าจะเทรดหรือลงทุนก็ตามที่ผมอยากแนะนำให้คนที่เข้ามาไม่นานศึกษา มีดังนี้ครับ

  • One Up On Wall Street โดย Peter Lynch
  • How to Make Money in Stocks, Second Edition โดย William O’Neil
  • Think & Trade Like a Champion โดย Mark Minervini
  • Mastering the Market Cycles โดย Howard Marks
  • The Dhandho Investor โดย Mohnish Pabrai
  • Lessons from the Greatest Stock Traders of All Time โดย John Boik
  • Market wizards interviews with top traders โดย Jack D. Schwager
  • Trade Your Way to Financial Freedom โดน Van K Tharp
  • High Performance Trading โดย Steve Ward
  • Trading in the zone โดย Mark Douglas
  • THINKING, FAST AND SLOW โดย Daniel Kahneman

6 เล่มแรกคุณจะได้วิธีการหลายๆ แบบทั้งลงทุนแล้วก็เรื่องของการเทรด ส่วนตัวผมก็เริ่มจากการอ่านงาน ดร.นิเวศน์ แล้วมาจบด้วยการเทรดระยะกลาง-ไกล ผมบอกไม่ได้ว่าคุณจะชอบแบบไหน แต่อยากให้เปิดใจลองอ่านหลายๆ วิธีการก่อน แล้วไปลองผิดลองถูก ส่วนเล่มหลังๆ คุณจะได้เรื่องกระบวนการที่ใช้ในการชนะตลาดซึ่งจำเป็นมากแต่คิดว่าอ่านวิธีการเทรด/ลงทุนก่อนจะง่ายกว่า จริงๆ ผมเคยร่างแนวคิดเบื้องต้นที่ผมใช้ในการศึกษาการเทรดหุ้นเอาไว้ ลองอ่านดูก็ได้ครับ ยาวหน่อยนะ

คิดว่าช่วงนี้มีคนที่เข้ามาเทรดหุ้นใหม่ๆ เยอะเลยที่มาติดตามเพจ ก็เลยมีความคิดที่จะทำบทความ แนะแนวทางการศึกษาการเทรดหุ้นในแบบของผมหน่อย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับลูกเพจครับ แล้วก็แน่นอนอันนี้ควรอ่านอย่างมีวิจารณญาณเพราะมันเป็นวิธีที่ตัวผมคิดว่าดี คิดว่าถ้าย้อนกลับไปบอกตัวเองเมื่อตอนเริ่มต้นได้ก็จะแนะนำแบบนี้ คนอื่นอาจจะไม่ได้คิดแบบนี้ก็ได้ครับเป็นเพียงความเห็นของผมล้วนๆ น่าจะมีหลายตอนนะครับเพราะเขียนออกมาแล้วค่อนข้างยาวเลย เรามาเริ่มกันทีละข้อนะครับ

1. ศึกษาเรื่องหุ้นให้เหมือนกับการเลือกคณะเข้ามหาวิทยาลัย

สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำคนใหม่ๆ ที่อยากศึกษาเรื่องการเทรดคือ เราควรมี mindset การศึกษาเรื่องหุ้นให้เหมือนกับการเลือกคณะเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งคำถามที่คุณต้องถามกับตัวเองมีด้วยกัน 2 คำถามใหญ่ครับ คือ มันมีคณะอะไรให้เลือกบ้าง และคุณเป็นใคร เรามาเริ่มกันทีละคำถามนะครับ

1.1 มีคณะอะไรให้เลือกบ้าง

คำถามแรกครับ คือคุณต้องรู้ว่ามันมีคณะอะไรให้เลือกบ้าง อย่างเช่น แพทย์ วิศวกร บัญชี คณะสถาปัตยกรรม และคุณต้องรู้ว่าการจะเข้าคณะนั้นมันต้องสอบวิชาอะไรบ้างเพื่อให้เราติดคณะนั้น ซึ่งเรื่องคณะในโลกของตลาดหุ้น (ผมขอพูดเฉพาะหุ้นนะครับไม่รวมสินทรัพย์อื่น) มันคือ เรื่องของสไตล์หรือกลยุทธ์การเทรดและการลงทุนครับ โดยที่มันจะสามารถแบ่งประเภทได้หลากหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น

แบ่งตามสิ่งที่ใช้ในการตัดสินใจเข้า/ออก สถานะการเทรด เช่น Mechanical trading (Systematic trading) และ Discretionary trading

แบ่งตามประเภทข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ อย่าง ใช้ข้อมูลปัจจัยทางพื้นฐาน ปัจจัยทางเทคนิค หรือใช้ทั้งปัจจัยทางพื้นฐานและเทคนิค

แบ่งตามวิธีการเข้า/ออก สถานะหรือ setup เช่น Trend trading, Mean reversion trading, Range trading, Breakout Trading, Pullback Trading และอื่นๆ

แบ่งตามลักษณะหุ้นที่เราเทรด เช่น Growth stocks, Turnaround stocks, Value stocks, Momentum stocks, Defensive stocks, Dividend stocks

และประเภทที่ผมอยากให้ทุกคนโฟกัสเป็นอันดับแรกในการแบ่งสไตล์นั่นคือ ระยะการถือครองสถานะ หรือ Trading period ครับ โดยจะแบ่งเป็นระยะ 5 ระยะหลักเรียงจากถือสถานะสั้นที่สุดยันไกลที่สุด คือ Scalping, Day Trading, Swing trading, Position Trading และ Buy and Hold

Scalping และ Day Trading จะเป็นการถือสถานะที่ต่ำไปกว่าหนึ่งวัน Swing Trading จะเป็นการถือในระยะที่มากกว่าหนึ่งวันแต่ไม่นานมากโดยปกติจะไม่ถึงหลักเดือนหรือไม่กี่เดือน Position Trading จะเป็นการถือหลายสัปดาห์จนอาจจะไปถึงหลักปีถ้าสุดท้ายได้รันเทรนด์ไปไกล จนถึง Buy and Hold ที่เป็นการถือสถานะแบบถือยาวหรือบางตำราจะให้มันไปรวมกับการ Investing ไปเลย ระยะเวลาไม่ต้องไปซีเรียสมากครับ ถ้าใครอ่านหลายๆ ตำราเรื่องของระยะเวลาอาจจะไม่ตรงที่ผมบอกเนื่องจากอาจจะเป็นเรื่องของธรรมชาติของสินค้าที่เล่น ช่วงเวลาที่ตำราเล่มนั้นออกมา (ตำราสมัยก่อนคนถือสถานะนานกว่าปัจจุบันเยอะเนื่องจากค่าคอมที่ถูกลงและนโยบายต่างๆ ทำให้เทรดเดอร์และนักลงทุนไม่เสียเปรียบมากถ้าถือสถานะสั้นๆ) แค่รู้ว่าอะไรมันยาวหรือสั้นกว่าเพื่อเวลาไปศึกษาจะได้เข้าใจว่าคนเขียนเขากำลังจะสื่อถึงระยะประมาณไหน

สิ่งที่คนส่วนใหญ่อาจจะอยากได้คำตอบมากที่สุดโดยเฉพาะมือใหม่ คือ วิธีการหรือสไตล์การเทรดหรือการลงทุนไหนที่ดีที่สุด เราจะได้เลือกฝึกวิธีนั้นไปเลย รวมถึงอาจมีข้อโต้เถียงกันเยอะแยะว่าวิธีแบบไหนดีกว่ากัน จากมุมมองส่วนตัวของผม ผมมองว่าไม่ว่าระยะไหนก็ตามมันมีคนที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรม และผมคิดว่าเรื่องสไตล์การเทรดมันไม่ใช่องค์ประกอบทั้งหมดที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ รวมถึงเวลาที่เรามองคนที่ประสบความสำเร็จในแต่ละแนวทางเช่นกัน ใช่ว่าเห็นเขาประสบความสำเร็จในแนวทางอย่าง Growth investing, Momentum trading หรือ Technofundamental trading แล้วมันจะประสบผลเพราะเรื่องของวิธีการทั้งหมด มันมีอีกหลายเรื่องเช่น การวางเงินและการบริหารความเสี่ยง การควบคุมสภาพจิตใจ การมีวินัย ความเข้าใจสภาวะตลาด การปรับตัวให้ตัวเองทันโลกอยู่เสมอ ซึ่งเรื่องพวกนี้สำคัญไม่แพ้กับเรื่องสไตล์เลย ดังนั้นอย่า “คลั่ง” วิธีการให้มันมากไปนัก แค่เข้าใจว่ามันทำงานยังไง ข้อได้เปรียบและข้อจำกัดของมันคืออะไร จะต้องฝึกอะไรบ้างเพื่อให้เชี่ยวชาญในการเล่นสไตล์นี้ และไปพัฒนาแง่มุมอื่นก่อนดีกว่า คิดภาพเหมือนเล่นฟุตบอล คุณเป็นกองหน้าแล้วยิงประตูได้ดีอย่างเดียว อาจจะสู้คนที่ยิงประตูได้ดีน้อยกว่า แต่วิ่งเร็วพอสมควรและหาตำแหน่งได้ดีไม่ได้ ในมุมมองของผมคุณควรเข้าใจวิธีการพอประมาณแล้วไปพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้ครบจนมันรอดก่อนแล้วเหลาสไตล์การเทรดเมื่อเวลาผ่านไป จากการเรียนรู้ที่มากขึ้นและการจดบันทึกจะดีกว่า

ซึ่งทักษะที่ผมคิดว่าจำเป็นหรือ ”คุณต้องได้” สำหรับการเทรด/ลงทุนในทุกสไตล์มีดังนี้ครับ

  • ความสามารถในการประเมินความเสี่ยง การจัดการความเสี่ยงและการวางเงิน
  • การประเมินตลาดและการจัดพอร์ตโฟลิโอให้เหมาะสมกับตลาด
  • ความรู้เข้าใจในเครื่องมือทางการเงินแต่ละประเภทที่คุณใช้
  • การควบคุมอารมณ์
  • การพัฒนาคุณภาพในการตัดสินใจและการมีวินัย
  • การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันและพร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่
  • ความเข้าใจใน Game Theory และ Probabilistic Mindset
  • ความสามารถในการออกแบบกระบวนการเทรดและพัฒนาระบบที่ตัวเองใช้
  • ทักษะการอ่านและการฟังภาษาต่างประเทศ (ถ้าคุณสามารถอ่านหรือฟังภาษาอังกฤษได้ คุณจะสามารถเข้าถึงข้อมูลคุณภาพดีได้อีกเยอะมาก)

พวกนี้คือทักษะที่ผมคิดว่าจำเป็นสำหรับทุกคนนะครับ ส่วนถ้าทุกคนเลือกสไตล์การเทรดแล้ว ทักษะที่ผมมองว่าในแต่สไตล์ควรจะฝึกมีดังนี้ครับ (ผมขอยกเป็น 3 สไตล์คือ Position trading, Swing Trading, และรวบ scalping กับ day trading เป็น short term trading ครับ)

Position Trading ในหุ้น

โดยปกติที่ผมเห็นคนที่เทรดหุ้นแล้วถือระยะไกลหน่อยจะมีอยู่ 2 แบบในการที่ฮิตๆ คือ 1. สายที่เล่นแบบ Techno-fundamental Trading กับอีกรูปแบบหนึ่งคือ Pure Technical analysis ผสมกับการใช้ Portfolio diversification ถือกระจายเยอะๆ แล้วหวังว่าจะมีหุ้นจำนวนหนึ่งในพอร์ตเกิดแนวโน้มแล้วไปได้ไกล สำหรับสิ่งที่คุณควรจะฝึกในสายนี้เป็นพิเศษมีดังนี้ครับ

รู้ว่าหุ้นที่ทำผลตอบแทนระดับสุดยอดในอดีตมีหน้าตาและพฤติกรรมเป็นอย่างไร

เรื่องนี้สำคัญมากเลยสำหรับคนที่อยากจะถือหุ้นนานๆ แล้วได้กำไรต่อครั้งเยอะหรือรันเทรนด์ไปได้ไกลครับ ผมไม่สนับสนุนให้คุณรันเทรนด์หุ้นส่งเดชโดยคิดว่ามันน่าจะไปได้ไกลและลุยเอาดาบหน้า โลกเรามันมีองค์ความรู้ มีประวัติศาสตร์ มีพฤติกรรมที่เกิดซ้ำให้เราสามารถศึกษาทั้งในไทยและเทศ data ทั้งพื้นฐานและกราฟทางเทคนิคในอดีตก็ดีกว่าสมัยก่อนมาก ดังนั้นคุณควรศึกษาเรื่องพฤติกรรมหุ้นผู้ชนะเพื่อให้วิธีการเลือกหุ้นรวมถึงการจัดการสถานะของคุณเฉียบคมยิ่งขึ้นครับ

การเข้าใจทิศทางตลาด

การเข้าใจทิศทางตลาดในทีนี้ไม่ใช่เพื่อให้คุณไปแทงขึ้นลงกับตลาด แต่เป็นการเข้าใจทิศทางตลาดเพื่อให้เข้าใจว่าช่วงไหนมันเป็นช่วงที่อำนวยหรือไม่อำนวยกับการเล่น Position trading เนื่องจากโดยปกติแล้วถ้าสภาพตลาดไม่ได้เป็นขาขึ้น การเล่น Position trading จะยากกว่าเดิมมากครับ รวมถึงเมื่อตลาดเปลี่ยนทิศจากขึ้นเป็นลงคนที่เล่น Position Trading อาจเจออาการพอร์ตวูบอย่างรวดเร็วถ้าไม่มีแผนจัดการกับมัน ดังนั้นการเข้าใจสภาวะตลาดที่เอื้ออำนวยก็เป็นสิ่งที่จำเป็นถ้าคุณอยากเล่น Position trading ในหุ้นนะครับ

การฝึก Sit tight

การฝึก sit tight หรือภาษาชาวบ้านว่าการนั่งทับมือ การไม่ทำอะไรดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ มันไม่ได้ขนาดนั้นโดยเฉพาะถ้าทำอาชีพเทรดเต็มเวลา คุณต้องนั่งอยู่จอทุกวันแล้วเห็นการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าเคลื่อนขึ้นเคลื่อนลงตลอด เราก็มีความคิดที่อยากจะ “ขยับ” อย่างที่ตำนานนักเก็งกำไรเคยบอกไว้ว่า “Men who can both be right and sit tight are uncommon” การนั่งทับมือหลายๆ คนอาจจะคิดแค่เรื่องของการที่ถือหุ้นไว้แล้วอดทนถือรอกำไรให้งอกเงย แต่มันเป็นเรื่องของการนั่งทับมือรอโอกาสหรือหุ้นที่เหมาะสมด้วยเพราะ การเล่น Position trading ให้ประสบความสำเร็จ คุณแค่ได้กำไรมันไม่เพียงพอ คุณต้องได้กำไรเฉลี่ยในจำนวนที่สูงด้วยเพื่อให้คุ้มค่ากับความนานที่คุณถือหุ้น ไม่เหมือนกับเล่นระยะที่สั้นกว่าที่เขาใช้การหมุนหุ้น (Turnover) มาทดแทนกำไรก้อนใหญ่ ดังนั้นหุ้นที่คุณเลือกเล่นมันต้องดีพอ ไม่ใช่ว่าจะเล่นตัวไหนก็ได้ ไม่ใช่ว่าหุ้นตัวไหนมันวิ่งจะเล่นหมดทุกตัวแล้วภาวนาให้มันวิ่งต่อไกลถือยาว รวมถึงการเล่นแบบ Position Trading มันอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกสภาพตลาด การถือหุ้นในช่วงปลายแนวโน้ม หรือช่วงขาลงที่ยังลงไม่สุดอาจทำให้คุณเจ็บหนักหรือ drawdown หนักได้ ดังนั้นต้อง timing มันดีดีและอาจต้องทนรอเวลาถ้าอยากจะเล่น Position Trading

การฝึก Bouncing back หรือฝึกสภาพจิตใจ

การเทรดแบบ Position Trading ถ้าเราไม่ได้เลือกการเล่นแบบที่กระจายยิงหลายๆ ตัวหลายสิบตัว แต่เลือกการเล่นแบบ focus ตัวละ 10-25% พอร์ตแล้วถือยาวๆ หุ้นมันไม่ดีมีแต่จะขึ้นครับ แต่มันมีจังหวะที่หุ้นลงหรือผันผวนด้วย รวมถึงมันมีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอนถ้าคุณเล่นแบบถือระยะไกล คือ มันจะมีหุ้นที่คุณได้กำไรไปจำนวนหนึ่งลงมาเท่าทุนหรือแม้กระทั่งขาดทุนเลย ถ้านึกภาพไม่ออก ผมสมมุติเรื่องราวให้ สมมุติคุณมีอยู่ 10 ล้านบาท คุณลงหุ้นตัวหนึ่ง 2 ล้านบาท (เท่ากับ 20% พอร์ต) คุณได้กำไรจากหุ้นตัวนี้ไป 50% คือคุณได้เงินไป 1 ล้านบาทแต่คุณไม่อยากขายมันเพราะมันยังขึ้นไปเรื่อยๆ และคุณประเมินว่ามันไปได้ไกลกว่านั้น แต่อยู่ดีๆ หุ้นก็ตกกลับลงมาเหลือบวกแค่ 10-20% ในเวลาไม่นาน (กำไรหายไปจากบวกล้าน กลายเป็นบวก 2-3 แสนบาท) ถ้ามองจากมุมคนนอกมันก็คือยังมีกำไร แต่สำหรับคนที่เทรดมันจะมองไม่เหมือนกันโดยเฉพาะคนที่ยังยึดติดในผลลัพธ์เขาจะมองว่าเงินเขาหายไปเยอะครับซึ่งเรื่องพวกนี้มันกระชากจิตใจหรือทำให้เจ็บปวดครับ ผมเคยคุยกับหลายๆ คนที่เทรดระยะที่สั้นกว่าหรือปรับมาเล่นระยะสั้นลง ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากได้กำไรเยอะครับ แต่เขาแค่อยากหลีกหนีจากเหตุการณ์เจ็บปวดแบบนี้ครับ รวมถึงโดยปกติแล้วการถือหุ้นในระยะไกล %win rate จะต่ำกว่าวิธีอื่นโดยธรรมชาติเมื่อเล่นผ่าน Market cycle ในหลายสถานการณ์อาจจะมี %win rate ที่ต่ำถึง 20-30% เลย พอ% มันต่ำขนาดนี้มันทำให้เกิดการขาดทุนติดๆ กันบ่อยมาก และอาจจะกินระยะเวลายาวนานกว่าจะที่จะกลับมาได้ผลลัพธ์ที่ดี ด้วยเหตุผลเหล่านี้มันทำให้คนที่อยากฝึกเล่น Position Trading จำเป็นต้องฝึกสภาพจิตใจโดยเฉพาะเรื่องของการไม่ยึดติดในผลลัพธ์ แต่ให้โฟกัสที่กระบวนการเทรด หรืออาจจะต้องหาวิธีในการลด drawdown ของระบบ ผ่านการกระจายความเสี่ยง การวางเงิน หรือหาวิธีการขายแบบอื่นมาเล่นคู่กับ position trading

Swing Trading ในหุ้น

เป็นสไตล์การเล่นที่หลากหลายครับสามารถปรับให้เหมาะกับทั้งคนที่เทรดแบบ full-time หรือแม้กระทั่งคนที่เป็น part-time ก็พอจะเล่นได้ เราสามารถเล่นถือระยะกลางกินกำไรก้อนที่ใหญ่พอสมควรแล้วทำให้ drawdown ของระบบน้อยลงกว่าการเล่นแบบ position trading ได้ รวมถึงสามารถปรับให้เล่นสั้นไม่กี่วันแต่หวังกำไรก้อนที่ใหญ่กว่าแบบที่เล่นระยะสั้นจบในวันได้เหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นวิธีการที่มี adaptability ที่สูงตามแต่ความรู้และทักษะของเทรดเดอร์ในการออกแบบวิธีการเทรดเลย สำหรับสิ่งที่คุณควรจะฝึกในสายนี้เป็นพิเศษมีดังนี้ครับ

ฝึกการขายแบบ Sell into strength และ Turnover หรือหมุนหุ้นให้เก่ง

โดยปกติแล้วถ้าเราฝึกการเล่นแบบที่เป็น Position trading มาหรือแบบที่เป็นการลงทุนถือไกลมา เรามักจะติดนิสัยรันเทรนด์ให้ไกลที่สุดถ้าหุ้นเรายังดีอยู่ แต่ swing trading อาจจะมีวิธีการคิดที่อาจจะต่างกันนิดหน่อย บางคนอาจจะมองว่าการได้กำไรครั้งละเยอะๆ ยังไงก็ดีกว่า แต่ถ้าเราลองมาพิจารณาจริงๆ มันมีอะไรที่ลึกกว่านั้นครับ จริงๆ การคิดเรื่องของระบบในการได้เงินจากตลาดมันประกอบด้วย ปัจจัยหลักๆ 3 อย่าง คือเรื่องของ กำไรเฉลี่ยต่อครั้ง, %win rate และเรื่องของความถี่ในการเทรด (ซึ่งความถี่มันจะแปรผกผันกับระยะเวลาในการถือครองสถานะ ยิ่งคุณถือนานในแต่ละการเทรด ความถี่ในการเทรดก็จะลดลง) ดังนั้นแนวคิดของการได้กำไรต่อครั้งไม่เยอะมากมันสามารถได้กำไรระยะยาวที่ดีพอกับวิธีการที่ถือหุ้นนานๆ ได้ถ้าคุณสามารถเล่นกับปัจจัยทางด้านความถี่ในการเทรดได้มีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น

การได้กำไร 50% ในระยะการถือครอง 3 เดือน กับ ใช้เงินในจำนวนเดียวกัน ได้กำไร 15% ใน 1 เดือน 3 ครั้ง สรุปผลจะออกมาใกล้ๆ กันในระยะเวลาใกล้ๆ กัน (อันนี้ทำวิธีคิดแบบลวกๆ ให้นะครับ จริงๆ อยากอธิบายเรื่อง “Time value” แต่บทความอาจจะยาวไป เดี๋ยวไว้อธิบายโอกาสหน้า)

ดังนั้นถ้าเราสามารถหาวิธีการขายที่ได้กำไรระดับหนึ่งในระยะเวลาไม่มาก แล้วสามารถ turnover หุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพเราก็จะสามารถเล่น swing trading ที่ได้กำไรวัดกับการเล่นแบบ position trading ได้โดยที่มี drawdown น้อยกว่าด้วย โดยที่เราสามารถฝึกการขายแบบ sell into strength ได้ดียิ่งขึ้นจากการจดบันทึกและหาค่า MFE (Maximum Favorable Excursion) หรือการoptimize ค่า time value รวมถึงการหาวิธีขายที่เหมาะสมกับ setup ที่เราเล่นครับ

การหา setup ที่เล่นในหลายรูปแบบที่มีประสิทธิภาพ

จากประสบการณ์ที่ผมได้ลองเล่นตลาดหุ้นเมกาพร้อมกับเล่นที่ไทยมาซักระยะ ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อเสียเปรียบใหญ่เลยๆ นอกจากเรื่องของคุณภาพบริษัทจดทะเบียน นั่นคือเรื่องของจำนวนหุ้นครับ ในอเมริกาตลาดหุ้นมีจำนวนใหญ่กว่าเราหลายเท่า มันทำให้หุ้นเกรด S มันมีจำนวนเยอะกว่าตามไปด้วย เรา sell into strength ออกมาแล้วหาหุ้นเข้าใหม่ใน setup เดิมๆ ได้ไม่ยาก แล้วพอมาที่ไทยถ้าคุณเล่น setup แบบเดียวไปเลยที่คุณถนัด แล้วมาเล่น swing trading พอคุณขายไปแล้วอยากจะ turnover ในหุ้นเกรดใกล้ๆ กันด้วย setup เดิมบางทีมันจะไม่มี กลายเป็นเล่นsetup ในหุ้นที่มีคุณภาพต่ำกว่าบางทีอาจจะโดน ทำให้คุณภาพในการ turnover หุ้นต่ำลงไป ซึ่งต่างจาก Position Trading ที่บางทีมีท่าเดียวเจ๋งๆ (positive expectancy) ไปเลยแล้วถือแช่ มันไม่ต้องอาศัยการ turnover บ่อยมากนัก หาหุ้นเกรด S แล้วเข้าในจังหวะคมๆ ก็พอ ดังนั้นการมีท่าเทรดที่มีความได้เปรียบ (edge) ซัก 2-3 รูปแบบที่ทำเงินได้มาช่วยในการ turnover ก็เป็นแนวทางที่ดีที่จะแก้ปัญหาตรงจุดนี้ครับ สำหรับตัวผมเองผมใช่้การเล่นคู่กันระหว่าง Position Trading กับ Swing Trading ก็เลยไม่ค่อยเจอปัญหาในการ turnover ยิงยาวแทบจะsetup เดิมๆ ไม่ค่อยมีปัญหาการ turnover เท่าไหร่

Short-term trading ในหุ้น

การเทรดหุ้นระยะสั้น ทั้ง scalping, day trading หรืออาจจะรวมไปถึงการเทรดสั้นระยะ 1-3 วัน ในประเทศไทยมักจะเห็นการเล่นพ่วงกับสินค้าอย่าง W,DW หรือแม้กระทั่ง SSF หรือมักจะพบในสายงานของ Proprietary Trader ตอนเด็กๆ ผมชอบได้ยินเรื่องแบบว่าการเทรดระยะสั้นไม่สามารถทำให้คุณรวยได้ มันเพียงช่วยให้ผลิต cash-flow ออกมาเท่านั้น ซึ่งพอผ่านมาหลายปีก็พบว่าความเชื่อแบบนี้ไม่จริง เพราะอย่างที่บอกในตอน swing trading ถ้าได้กำไรน้อยแล้ว turnover ได้เยอะก็กลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้เหมือนกัน มันก็เหมือนการเล่น short term trading ครับ กำไรน้อยแต่ความถี่เยอะก็ทำเงินได้เยอะได้ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ฟังเทรดเดอร์ต่างประเทศรวมถึงมีพี่ๆ ใกล้ตัวที่เทรดระยะสั้นหาเลี้ยงชีพจากวิธีนี้หลายคนก็พบว่ามันเป็นวิธีที่ทำให้คุณมีความมั่งคั่งได้ครับ แล้วก็มันได้เปรียบในเรื่องของ cash-flow จริง เพราะมีการเข้าออกสถานะบ่อย ทำให้ไม่ต้องมีปัญหาว่าเงินแช่อยู่ในหุ้นแล้วต้องใช้เงินจะทำยังไง แต่สำหรับการเล่น Short-term trading มันจะค่อนข้างกินเวลาเยอะ เพื่อหมุนหลายรอบด้วยดังนั้นผมไม่ค่อยจะแนะนำให้คนที่ไม่มีความคิดจะออกมาเป็น full time โดยเฉพาะมือใหม่เริ่มต้นฝึกในแนวทางนี้เท่าไหร่ เพราะคุณทำงานมันไม่มีเวลามากขนาดนั้นครับ เผลอๆ ไปรบกวนงานคุณอีก แล้วพอสัญญาณซื้อขายมันมา ใช่ว่าคุณจะว่างหรือมีสมาธิมากพอในการตัดสินใจ มันทำให้หลายๆ สิ่งดำเนินไปอย่าง random กลายเป็นเทรดสั้นเมื่อว่าง ไม่ใช่เมื่อโอกาสที่ดีมาถึง รวมถึงเจอหลายคนที่เทรดแล้วพ่วงกับสินค้าประเภท gearing สูงพอเสร็จไปทำงานหรือประชุมออกมาแล้วราคาวูบเจ็บหนักก็มีให้เห็นกันบ่อย ถ้าอยากจะทำงานไปเลยแล้วเทรดสั้นผมว่าไปอยู่ในสถาบันการเงินไปเลย หรือสอบขอทุนจากต่างประเทศแล้วลุยดีกว่า แต่ก็นี่เป็นเพียงความคิดของผม ถ้าใครเป็น part time แล้วเล่น short-term trading ได้เงินสม่ำเสมอก็ลุยครับ สิ่งที่เห็นชัดเลยที่เหล่า Short-term Trader ต้องฝึกมีดังนี้ครับ

Peak Performance

นี่เป็นหัวข้อแรกที่ผมมองว่าคนที่เทรดโดยเฉพาะคนที่เล่นระยะสั้นจำเป็นต้องฝึกเลยครับ และก็เป็นปัญหาอย่างหนักที่ Full time หลายคนเจอคือความเครียดและโรคภัยอย่าง office syndrome การฝึก Peak Performance คือการฝึกสภาวะร่างกายและจิตใจให้สามารถแสดงศักยภาพสูงสุดออกมาได้ เพราะว่าการเล่นระยะสั้นมันคือการเล่นกับการชิงจังหวะและการรับมือกับความผันผวน ซึ่งทำให้ร่างกายของเราเกิดความเครียดสะสมครับ ถ้าเราสภาพร่างกายและจิตใจไม่พร้อมมันจะทำให้คุณภาพในการตัดสินใจของเราไม่เฉียบคม จริงๆ Peak Performance มักจะเป็นศาสตร์ที่ให้กับพวกนักกีฬาฝึกเป็นหลัก แต่เทรดเดอร์ในต่างประเทศก็มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างหนัก ซึ่งโดยปกติจะเป็นเรื่องของการออกกำลังกาย โภชนาการ การนอนหลับ และการฝึกเตรียมสภาพจิตใจสำหรับการเทรด สำหรับคนที่อยากจะฝึกเทรดสั้น ลองสนใจเรื่องพวกนี้ไว้ก็ดีครับ

High Energy Level

เป็นเรื่องที่ต่อมาจากเรื่องของ Peak performance ครับ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของการเจาะไปที่พลังงานโดยตรง เนื่องจากการที่เล่นระยะสั้นนั้นเราอาจจะต้องเฝ้าจอเป็นระยะเวลายาวนานใช้โฟกัสสูง และเรื่องเหล่านี้เปลืองพลังงานครับ แค่ในหุ้นไทยก็ตั้งแต่ช่วย pre market ก่อน 10 โมงยาวยัน 16.30 นี่ไม่รวมถ้าเราเล่นหลายสินค้า หรือหลาย Session อย่างพวกตลาดค่าเงินต่ออีก หลายๆ ครั้งเราอาจจะต้องสังเกตตัวเองครับ ผมเจอหลายคนที่พบกับปัญหาทำผลงานตอนช่วงท้ายตลาดไม่ดี (จากการจด stat เป็นช่วงเวลา) หรือพบกับอาการเหนื่อยในช่วงท้าย เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของพลังงานทั้งหมดครับ เราพบกับอาการแบตหมด ทางแก้มีอยู่ 2 ทางครับ คือการเพิ่มขนาดความจุแบตของตัวเอง นั่นคือการออกกำลังกาย ที่โดยปกติเขาฝึกกันคือ การวิ่งและการว่ายน้ำจะค่อนข้างฮิตครับ กับอีกวิธีคือการเติมแบตระหว่างทาง ซึ่งนั่นคือการงีบระหว่างช่วงพัก Session ตลาดครับ ถ้าในตลาดไทยก็เป็นช่วง 12.30- 14.30 น. การงีบซักระยะจะช่วยในการเติมพลังงานให้คุณอยู่ได้หลาย Session ครับ

ในส่วนของ Short-term trading ก็ขอเขียนถึง 2 เรื่องนะครับ จริงๆ มันยังมีเรื่องของ Volatility Trading กับเรื่องของ Prime time for trading แต่ผมคิดว่าน่าจะยาวเกินไปสำหรับบทความนี้ไม่งั้นเดี๋ยวบทความยาวไปไว้เขียนเจาะให้ครั้งหน้าเมื่อมีโอกาส

ผมขอเขียนเรื่องของสไตล์การเทรดเบื้องต้นประมาณนี้นะครับ จริงๆ มันแตกแขนงไปอีกกว้างมาก ไม่แพ้กับจำนวนคณะหรือความหลากหลายของอาชีพเลย และนี่ก็เป็นเรื่องเบื้องต้นที่เราจำเป็นต้องฝึกสำหรับการเป็นเทรดเดอร์ในแต่ละสายเหมือนการเลือกคณะและเลือกวิชาเรียนที่เราต้องฝึกครับ

1.2 คุณเป็นใคร

เราพูดถึงเรื่องของคณะที่เราจะไปเรียน (สไตล์การเทรด) กันแล้วต่อไปก็เป็นเรื่องของตัวเราเองนี่แหละครับ เหมือนที่เราเลือกมหาลัยเลือกคณะ เราจำเป็นต้องเข้าใจตัวเองว่า มีความชอบอะไร และมีความถนัดอะไรบ้าง แล้วค่อยจับมันมา match กันระหว่างสไตล์การเทรดและตัวของเรา โดยปกติที่ผมจะแนะนำในการค้นหาตัวเองผมจะให้ทำสิ่งที่เรียกว่า “trader profile” นั่นคือประวัติของเทรดเดอร์ขึ้นมา เราต้องหาตรงนี้หาเจอก่อน

คนส่วนใหญ่ชอบที่จะหาว่าอะไรที่มันเวิร์คก่อนแล้วเอามาใช้ พยายามปรับตัวเองเข้าหาวิธีการ แต่จริงๆ เส้นทางที่ยั่งยืนกว่าคือการเข้าใจตัวเองว่าเป็นแบบไหน แล้วหาแนวทางที่มันใกล้เคียงกับเรามาใช้ นั่นคือการปรับวิธีการเข้ามาหาตัวเรา

โดยจะมีหัวข้อให้พิจารณาเบื้องต้นดังนี้ครับ

Time Commitment

อย่างแรกเลยคือเรื่องของทรัพยากรที่สำคัญที่สุดนั่นคือ เรื่องของเวลาครับว่าคุณมีเวลาให้กับการเทรดหรือการลงทุนมากขนาดไหน และในอนาคตคุณอยากจะให้เวลามันมากเท่าไหร่ คุณเป็น/หรืออยากเป็น Full time trader หรือทำงานอื่นเป็นหลักแล้วอยากเทรดเป็น Part-time อันนี้คือเรื่องหลักที่คุณต้องพิจารณาครับ

และในส่วนของ Full-time trader เราก็สามารถแบ่งแยกประเภทได้อีกขึ้นอยู่กับ 2 ส่วนนั่นคือ ระยะเวลาที่ใช้ในการดูจอกับเวลาที่ใช้นอกเวลาเทรด โดยปกติ Full time จะแบ่งเป็น 3 แบบ

  • แบบแรก อยู่จอเทรดเยอะ เวลานอกการเทรดน้อย เป็นเทรดเดอร์ที่เฝ้าจอเยอะ อย่างในตลาดไทยก็คือเฝ้าทั้งวัน 9.30-16.30 น.
  • แบบสอง คืออาจจะไม่่ได้เฝ้าจอเยอะมาก อาจจะชั่วโมงหนึ่งดูรอบนึงหรือแบ่งเป็นดูช่วงเช้าและช่วงเย็น แต่เอาเวลาที่เหลือจากการเฝ้าจอในแบบแรกไปทำอย่างอื่น เช่นการศึกษาหุ้น กับพัฒนาวิธีการเทรดหรืออื่นๆ
  • แบบที่สาม คือแบบที่แทบไม่ใช้เวลาอยู่จอเลย แค่เอาไว้สำหรับตอนซื้อ/ขายเท่านั้น แล้วที่เหลือเอาไปทำอย่างอื่นเลย เช่น research หุ้น นั่งดู opp-day ไป visit ซึ่งโดยปกติก็จะเป็น full time investor ที่เป็นแบบนี้

ยกตัวอย่างตัวผมเองผมออกมาเป็น Full time โดยเลือกจะเป็น Full time แบบที่ 2 ตั้งแต่แรกครับ คืออยากจะเทรดแต่ไม่ได้อยากเฝ้าจอเยอะขนาดนั้น แล้วเอาเวลาไปศึกษาหรืออ่านงานresearch ซะมากกว่าเนื่องจากผมไม่มีพื้นฐานความรู้ทางการเงินเลย ผมจบทางสางวิทยาศาสตร์ก็เลยต้องปูเรื่องนี้เยอะหน่อย รวมถึงผมมองไม่เห็นตัวเองเฝ้าจอตลอดเวลาในช่วงหลังอายุ 40 เลยก็เลยเลือกจะเป็น Full time แบบที่ 2 ตั้งแต่แรกครับ

ดังนั้นถ้าพิจารณาเรื่องของเวลาแล้ว ถ้าคุณเป็น Full time แบบแรกคือเฝ้าจอตลอด คุณสามารถเทรดได้ทุกสไตล์เลย ตั้งแต่สั้นยันยาว แต่ถ้าคุณเป็น Full time แบบอื่น หรือ Part time ที่มีเวลาน้อยผมมองว่าควรตัดการเทรด short-term trading ไป ส่วนถ้าคนทำงานที่ไม่มีเวลาเลยคุณอาจจะต้องเลือกเทรดได้แต่ Position Trading หรือเลือกลงทุนไปเลยจะดีกว่า

คำถามที่คุณควรถามเกี่ยวกับเรื่องของเวลาให้คุณสามารถเลือกวิธีเทรดที่เหมาะกับคุณได้ง่ายขึ้นมีดังนี้ครับ

  • ตารางเวลาของคุณในปัจจุบันเป็นอย่างไร มีเวลากับการเทรด/ลงทุนเท่าไหร่ และในอนาคตเป็นอย่างไร
  • คุณสามารถเฝ้าตลาดในแต่ละวันโดยไม่ถูกสิ่งอื่นรบกวนได้มากขนาดไหน
  • คุณมีเวลานอกเวลาตลาดเพื่อที่จะหาความรู้ นั่งทำไดอารี่ และเวลาวางแผนการเทรดได้มากขนาดไหน

เรื่องของความเชี่ยวชาญและทักษะที่เรามีติดตัว

คนที่เข้ามาในตลาดทุกคนจะมีทั้ง soft skills และ hard skills ติดตัวมา ซึ่งสไตล์การเทรดแต่ละแบบก็มีความรู้และทักษะที่ใช้แตกต่างกันครับ

อย่าง position trading ในหุ้น ถ้าคุณมีความรู้ในการอ่านงบการเงิน การเข้าใจพื้นฐานกิจการ เข้าใจในเรื่องของวงจรเศรษฐกิจ มันจะได้เปรียบในการเป็นเทรดเดอร์ระยะยาวพอสมควรเลยครับ รวมถึงคุณเป็นคนที่มีความอดทน รอได้ รวมถึงมีความสามารถรับ drawdown ได้มากพอสมควรก็จะสิ่งที่อำนวยต่อการเป็น position trader ครับ

หรือการที่เราเป็นคนที่ตัดสินใจได้ดี มีความฟิต มีสมาธิสูง มีทักษะในการทำงานแบบ Multitasking และชอบในความร่วดเร็ว ก็อาจจะเหมาะกับการเทรดระยะสั้น

รวมถึงการที่คุณมีความสามารถทางการเขียนโปรแกรม หรือทางคณิตศาสตร์ คุณก็อาจจะเหมาะกับการเป็น systematic trader หรือ quant trader ได้ง่ายกว่าคนอื่นครับ

โดยส่วนตัวผมมีbackground ทางสายวิทยาศาสตร์ล้วนๆ เลยไม่มีทางด้านการเงินมาเกี่ยวสักนิด ผมจะชอบอะไรที่มีการทดสอบมาแบบวิทยาศาสตร์ แล้วก็อะไรที่มาเป็นสถิติหรือตัวเลข มีการวัดผลที่ชัดเจน ก็เลยจะเลือกวิธีการเทรดที่มีการทดสอบออกมาเป็นสถิติอย่างชัดเจน อะไรที่พิสูจน์ทางสถิติยากจะไม่ใช่แนวผมเลย แล้วก็พอเทรดไปเรื่อยๆ ก็รู้ว่าตัวเองขาดเรื่องการเข้าใจภาพวงจรเศรษฐกิจ ก็เลยมาเรียนเติมเอาหลังจากนั้นครับ

เรื่องต่อไปคือเรื่องของความชอบหรือรสนิยมครับ

เรื่องของรสนิยมอาจจะไม่สามารถที่จะบอกได้ตั้งแต่แรก แต่เราอาจจะต้องลองเทรดในแต่ละแบบแล้วสังเกตตัวเองว่าชอบและไม่ชอบแบบไหน เช่น

trade setup แบบต่างๆ เช่น price action, ซื้อขายจาก indicator ซื้อตามแนวโน้มหรือสวนแนวโน้ม หุ้นเล็ก หุ้นกลางหรือหุ้นใหญ่

จำนวนการเทรดต่อเดือน ชอบเทรดบ่อยมั้ยหรือไม่ชอบ

Win rateและ average gain ประมาณไหน ชอบชนะบ่อย ได้กำไรกลางๆ หรือชอบฟาดกำไรทีละเยอะๆ แต่ win rate อาจจะต่ำกว่า drawdown ประมาณไหนที่เรารับได้

เจ็บปวดจากอะไรมากกว่าระหว่าง การที่ขายหุ้นแล้วมันไปต่อไกล กับที่ถือหุ้นนานแล้วบางทีกำไรหายหมดก็อาจจะเป็นความรู้สึกที่เราเอามาคิดได้เช่นกัน

ซึ่งการค้นหารสนิยมของตัวเองได้เร็วที่สุดมันคือการจดบันทึกการเทรดครับ ในตอนที่ผมเริ่มๆ หรือแม้กระทั่งตอนนี้ผมมักจะถามคำถามตัวเองด้วยคำถามแบบนี้เพื่อเข้าใจตนเองให้มากขึ้นครับ

  • เรารู้สึกสบายใจหรือมั่นใจกับรูปแบบการเทรดนี้ หรือระยะการถือครองสถานะหุ้นนานแบบนี้มั้ย
  • Setup และตลาดแบบไหนที่ทำให้เราได้เงินและเสียเงินมากที่สุด
  • Timeframe ไหนที่เราคิดว่ามันไม่สั้นหรือยาวเกินไปสำหรับเรา
  • เราสามารถเทรดในแนวทางนี้อย่างเต็มศักยภาพได้จริงมั้ย เราพลาดโอกาสงามๆ ในรูปแบบการเทรดนี้บ่อยรึเปล่า
  • การขายหรือออกสถานะแบบนี้(ที่ผ่านมานานๆ ) เราโอเคกับมันรึเปล่า ทั้งเรื่องอารมณ์และผลลัพธ์
  • เรามีวินัยในการทำตามแผนกับวิธีการแบบนี้ได้มากขนาดไหน
  • สถิติที่ออกมาเมื่อเทรดมาซักระยะโอเคมั้ย ทั้งเรื่องของ drawdown ที่เกิด %win rate และ average gain/ average loss เป็นอย่างไร

ถ้าเทรดและจดเรื่องพวกนี้อย่างจริงจัง เราจะเข้าใจตัวเองทางด้านความชอบและไม่ชอบมากขึ้นครับ แต่แน่นอนอย่าเอาแค่เรื่องผลลัพธ์เพียงอย่างเดียวมาตัดสินนะครับ เอาเรื่องความสบายใจ/ความลำบาก การทำตามแผนได้หรือไม่ได้มาเป็นที่ตั้งครับ

เรื่องกระบวนการค้นหาตนเองเป็นส่ิ่งที่เราต้องทำอยู่เรื่อยๆ ครับ เพื่อให้วิธีการที่เราใช้กับตัวเรามันเข้ากันให้มากที่สุด เพื่อก่อเกิดความสุขและผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวครับ ถ้าเรารู้ตัวเองอย่างดี แล้วเรารู้ว่าวิธีการไหนมันเหมาะกับเรา อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรก เราต้องมองมันเหมือนเรื่องการเตรียมตัวเข้ามหาลัยครับการศึกษาเรื่องหุ้นจะง่ายขึ้นเยอะและเราจะพัฒนาได้เร็ว

และนี่คือแนวคิด “ศึกษาเรื่องหุ้นให้เหมือนกับการเลือกคณะเข้ามหาวิทยาลัย” ครับ

ผมขอจบ Part 1 ของบทความ แนวทางศึกษาการเทรดหุ้นของผม ไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ มันค่อนข้างยาวไปละ เดี๋ยวมาต่อกันใน part 2 นะครับ และก็ย้ำอีกครั้งคนอื่นอาจจะมองไม่เหมือนกัน อันนี้เป็นความคิดผมล้วนๆ จะเอาไปปรับใช้ก็ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนนะครับ

บทความ แนวทางศึกษาการเทรดหุ้นของผม Part 1 โดย Humble Trader Diary

ชอบไม่ชอบอย่างไร ฝาก comment ไว้นะครับ ฝากกด like และ share เป็นกำลังใจทางเพจผลิตผลงานต่อไปนะครับ


Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *