– วิธีการสร้างวินัยฉบับใช้งานจริง โดย Humble Trader Diary –
หลังจากที่สรุปเรื่องของ วินัยในแนวทางของ Optimus Future ไปในบทความก่อน (ใครยังไม่อ่าน สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ)
บทความนี้ก็มาถึงการแนะนำของตัวผมเองเกี่ยวกับเรื่อง การสร้างวินัยในการเทรด นะครับ หวังว่าในช่วงเวลาตลาดที่ยากลำบากมันจะช่วยเตือนและไม่ทำให้ทุกคนหลุดวินัยโดยเฉพาะเรื่องของวินัยในการบริหารความเสี่ยงนะครับ
เตือนก่อน เนื่องจากผมไม่ได้มีประสบการณ์ในตลาดมากมายอะไรนัก ผมคิดอะไรในตอนนี้หรืออยากเขียนอะไรผมก็จะเขียนไปเรื่อย ฉะนั้นก่อนเอาไปปฏิบัติตามก็ใช้วิจารณญาณกันด้วยนะครับ มันอาจจะไม่ถูกหรือเหมาะกับคุณ
ก่อนที่เราจะมาฝึกเรื่องการสร้างวินัย เรามาเข้าใจความหมายของมันกันก่อนนะครับ
ตามความหมายของคำว่า “วินัย” จาก พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
วินัยแปลว่า “กฎระเบียบแบบแผนและข้อบังคับ ข้อปฏิบัติ”
การมีวินัยคือ การมีหรืออยู่ในกฎระเบียบแบบแผนและข้อบังคับ ข้อปฏิบัติ นั่นเองครับ
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวผมที่เคยมีโอกาสได้นั่งคุยแบบ Deep conversation และตรวจประวัติ Trade log ที่ผ่านมากับนักเรียนที่มาฝึกด้วยกันประมาณ 60 กว่าท่าน (เป็นนักเรียนที่อายุงานในตลาดเกิน 6 ปี 40 กว่าท่าน) โดยที่มีนักเรียนเพียง 25 ท่าน ที่มีกฎระเบียบหรือแบบแผนการเทรดแบบคร่าวๆ ให้ผมตั้งแต่เริ่มแรกที่คุยกัน และมีไม่ถึง 10 ท่านที่มีแบบแผนที่ครอบคลุมและชัดเจน และแน่นอนผลการเทรดของเกือบ 10 คนนี้ก็อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ และมั่นคงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากจะแนะนำสำหรับการพัฒนาหรือสร้าง”วินัยในการเทรด” เป็นอย่างแรกเลย นั่นคือ
1. สร้างกฏระเบียบและแบบแผนในการเทรด
มันแน่นอนอยู่แล้วครับ เราจะพัฒนามันได้อย่างไร ถ้าเราไม่มีมันแต่แรก (วินัยแปลว่า “กฎระเบียบแบบแผนและข้อบังคับ ข้อปฏิบัติ”) เราจำเป็นจะต้องสร้างกฎระเบียบและกลยุทธ์ที่ชัดเจนขึ้นมาก่อน เพื่อให้เรารู้กรอบและขอบเขตที่เราสามารถทำได้ทั้งหมดในการเทรด แล้วแผนหรือกลยุทธ์ที่ดีมันไม่ควรจะถูกคิดออกมาแบบมั่วๆ แต่มันควรที่จะเป็นกลยุทธ์ที่ถูกทดสอบว่ามันwork (expectancy เป็นบวกระยะยาวและมีความ robust ผ่าน Back-test, Walk-forward, forward test บราๆ) หรืออีกแบบที่คนฮิตกันคือดัดแปลง (หรือลอก) มาจากระบบที่เทรดเดอร์หรือนักลงทุนระดับโลกเขาใช้กัน แต่แบบหลังนี่ก็มีข้อควรระวังอยู่เยอะเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่เวลาเราได้รับข้อมูลแล้วนำมาใช้ ชอบหยิบมาใช้แต่เรื่องของวิธีเลือกหุ้นและการเข้าสถานะ เรื่องของการออกสถานะ การวางเงินและการบริหารความเสี่ยงชอบไม่เอามาร่วมด้วย หรือบางทีคนที่เราเอามา เขาก็ไม่ได้บอกเราหรือบอกไม่หมด ฉะนั้นถ้าจะลอกก็ควรมีสติ เอาไปทดสอบหรือลองเทรดด้วยเงินน้อยๆ ก่อน ผ่าน sample size 100-200 เทรด
อีกอย่างหนึ่งที่ผมเห็นบ่อยคือ คนทั่วไปชอบวางแผนรายตัว ซื้อตัวไหน ซื้อยังไง ขายยังไงเป็นรายตัวแค่นั้น แต่ผมว่าอันนั้นมันเป็นการวางแผนภาพย่อยรายตัวไป ซึ่งการเทรดจริงๆ มันไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะเวลาเราเทรด เราเทรดทั้งพอร์ต เวลาเงินขึ้นลง มันเคลื่อนเป็นพอร์ต เราจะ control ภาพรวมไม่ได้เลยถ้าดูภาพย่อยเพียงอย่างเดียว แล้วอีกอย่างคือ พอเราวางแผนแบบแยกกัน พอร์ตเราแม่งจะหลากหลายวิธี หลายกลยุทธ์มาก ส่วนนึงจะ day trading, swing, position trading ซื้อเบรค ซื้อรับ ใช้อินดี้ซื้อ position size ก็มั่วเลย risk per trade ก็งง เพราะเราไม่ได้คิดแบบภาพรวมมาก่อน การจดบันทึกก็จะยาก การมองเกมก็จะยาก การพัฒนาตัวเองให้เชี่ยวชาญในกลยุทธ์ก็จะยากเช่นกัน
ถ้าให้ผมแนะนำเบื้องต้น คุณจำเป็นจะต้องเขียน Trading Business Plan ของตัวเอง หรือที่ไป copy เขาคุณก็จำเป็นจะต้องแตกมันออกมาเป็นส่วนๆ ตาม topic เบื้องต้นตามนี้ก่อนครับ
- Definition ของกลยุทธ์ กลยุทธ์นี้คืออะไร คำจำกัดความของกลยุทธ์นี้ อะไรคือแก่น หรือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้วิธีของเราประสบความสำเร็จ, Method ต่างๆ ที่อยู่ในกลยุทธ์นี้คืออะไรบ้าง
- Products and Tools ต่างๆ สินค้าที่เทรดในกลยุทธ์นี้ เทรดอะไรบ้าง หุ้น etf option คุณใช้เครื่องมืออะไรบ้าง Chart, Fundamental criteria, indicator, timeframe ระบุให้ครบในสิ่งที่ใช้
- Watchlist ถ้าคุณลงทุนหรือเทรดหุ้น ก็จำเป็นจะต้องมีการสร้าง Watchlist ซึ่งหุ้นใน Watchlist มันก็มาจาก Criteria ต่างๆ หรือเป็นระบบ Filtering หรือ Scan ออกมา Criteria มีอะไรบ้างต้องระบุให้ครบ ถ้าให้ดีต้องสร้างระบบที่สามารถ Prioritize หรือ Ranking ให้ได้ เพื่อจะได้รู้ว่าตัวไหนใน list ดีที่สุด
- Setup/ Trade Trigger เซตอัพมีกี่แบบจุดที่เราจะเข้าซื้อจากหุ้นใน Watchlist เราเป็นอย่างไร ถ้าให้ดีก็ต้องทำออกมาเป็น Checklist ให้ได้
- Execution Phase ตอนอยู่ในเวลาเทรดต้อง monitor หรือดูอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง การตั้ง conditional order, ตั้ง alarm, การดูสภาพตลาดและสินค้าที่เราจะเทรด
- Sell rules การออกสถานะในแต่ละแบบมาจากเงื่อนไขอะไรบ้าง การทำกำไร การตัดขาดทุน timestop การ Management จากเงื่อนไขต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการเทรด, Market Theory ที่เรานำมาใช้ในการจัดการพอร์ต
- Risk and Money Management แผนบริหารความเสี่ยงและการวางเงิน Position size per trade, Portfolio heat, Risk per trade, Allocation and correlation, Equity curve management, Model ที่ใช้ และ contingency plan เวลาฉุกเฉิน
- Feedback loop and monitoring system ระบบการตรวจสอบและการพัฒนาของระบบ เก็บข้อมูลอะไรบ้าง Metric ที่สำคัญที่เราจะต้องดูมีอะไรบ้าง การทำ Journal และ Trade log เพื่อพัฒนาระบบและตัวผู้เทรด
- Documents เอกสารที่เราจะต้องใช้ในการเทรดต่างๆ เช่น Trading Dashboard เอาไว้ดูระหว่างวันในการ control heat, market condition เอกสารที่เอาไว้ใช้ดู position size หรือการกำหนดจุดเข้าออกในหุ้นแต่ละตัว, เอกสารในการจัดการ Watchlist, Snapshot และบันทึกการเทรดต่างๆ หรือเดี๋ยวนี้ก็มีหลาย Platform ที่ตอบโจทย์เรื่องเอกสารพวกนี้ เช่น tradervue tradingsync edgewonk trademetria
แล้วให้ดีก็ทำทั้งหมดนี้อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และควรจริงจังกับขั้นตอนนี้ให้เหมือนกับการทำธุรกิจครับ เพราะมันเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ นะ หรือถ้าจะเอาแบบที่หลักการการทำ system ที่มีหลักการกว่าของผม ก็เช่นแบบของ Dr. Tharp ที่ประกอบที่องค์ประกอบ 8 อย่างคือ
- A market filter
- Set up conditions
- An entry signal
- A worst-case stop loss
- Re-entry when it is appropriate
- Profit-taking exits
- A position sizing algorithm, and
- multiple systems for different market conditions
ซึ่งรายละเอียดลึกๆ ก็ต้องไปหาเรียนหรืออ่านของ Dr. Tharp เอานะครับ
เนื่องจากบทความนี้มันไม่ได้เป็นเรื่องของ trading plan ฉะนั้นผมจะเขียนแค่นี้ก่อนละกันนะครับ ฉะนั้นก่อนจะทำให้วินัยดีขึ้น เขียนกลยุทธ์ให้ได้ก่อนนะครับ
2. ทำงานหนักจนเชื่อมั่น
เรื่องนี้สำคัญมากครับ โดยปกติที่เราไม่ยอมทำตามวินัย ไม่ตามแผนหรือไม่ทำตามอะไรซักอย่างหนึ่งก็เพราะเรายังไม่เชื่ออย่าลึกซึ้งจริงๆ ว่าเราทำสิ่งนั้นแล้วมันจะให้ผลดีกับตัวเราจริงๆ เราถ่าง stop เพราะไม่เชื่อมั่นว่าเราควรคัทลอสตรงนี้ เดี๋ยวก็เด้ง เราถือกำไรต่อทั้งที่ในแผนเราต้องขายตรงนี้ คุณยังไม่เชื่อมั่นในแผนครับ ตัวคุณจึงไม่ทำตาม
ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าเราออกแบบแผนการหรือกลยุทธ์ที่ดีอย่างจริงจัง แผนมันถูกสร้างมาเพื่อให้เราบรรลุวัตถุประสงค์ที่เราต้องการ แสดงว่าสิ่งที่เราต้องทำคือแค่ทำตามแผนไปในระยะยาวเราก็น่าจะประสบความสำเร็จ การสร้างแผนมาแล้วไม่ทำตาม แล้วจะทำแผนทำห่าอะไร ถูกต้องมั้ยครับ ทางที่ดีคุณต้องจริงจัง ทำงานหนักเป็นระยะเวลานานจนมันฝังรากลึกลงไปใน subconscious เลย คล้ายๆ กับการที่เราจะต้องอาบน้ำ แปรงฟันตอนเช้าและตอนกลางคืนครับ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมต้องทำไอ้ข้อแรกให้ละเอียด เพราะถ้าคุณยิ่งทุ่มเวลาในการทำแผนเท่าไหร่ เข้าใจธรรมชาติในมัน หาข้อมูลและแนวทางเพิ่มเติม ปรับเปลี่ยนมันให้เข้ากับตัวคุณเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องเหล่านี้มันจะฝังรากลึกเข้าไปใน subconscious จนมันเชื่อไปโดยอัตโนมัติ แล้วคุณก็จะทำตามกรอบหรือกฏที่คุณสร้างขึ้นได้เอง แล้ววินัยมันก็ตามมาในที่สุดครับ
และเช่นเดียวกัน ถ้าคุณดันทำนิสัยไม่ดี แหกกฎ จนมันลงไปใน subconscious แล้วหล่ะก็ การเอาออก หรือขุดทิ้งออกมาแม่งจะโคตรยากและต้องใช้ความพยายามอย่างมากครับ
“Only perfect practice makes perfect.“
3. การทำระบบตรวจสอบ
การทำระบบการตรวจสอบถือเป็นอีกสิ่งที่ช่วยเราให้ทำตามวินัยได้อย่างดีครับ โดยที่สิ่งที่เราจะตรวจสอบเราจะไม่ได้ตรวจสอบไปส่วนของผลลัพธ์ แต่ไปตรวจสอบที่ขั้นตอนของกระบวนการ หรือการกระทำของเราในการเทรดครับ สิ่งนี้ส่วนหนึ่งผมประยุกต์มาจากการเรียนจากคุณ Mark Douglas เจ้าของหนังสือชื่อดังอย่าง Trading in the zone ครับ ลองหาต้นฉบับภาษาอังกฤษมาอ่านนะครับ สุดยอดมากๆ
สิ่งที่เราจะตรวจสอบเราก็จะนำมาจาก Trading Strategy/ Plan ในข้อแรกนะครับ ว่าจุดไหนที่เป็นจุดที่เราจะต้องควบคุมหรือเป็นจุดที่เป็น Critical Control Point ของเราบ้าง โดยที่เราสามารถจำแนกออกมาเป็นหัวข้อเบื้องต้นดังนี้ครับ
- คุณภาพของหุ้นที่เราซื้อ ว่ามันดีพอกับ Criteria หรือตรงกับกลยุทธ์ของเราหรือไม่
- จุดซื้อที่เราทำการซื้อ ว่าอยู่ในโซนที่เราวางไว้หรือไม่ เช่น เราต้องการซื้อหุ้นให้ได้ที่ 10-10.2 บาท เราได้ราคาตามนั้นหรือถ้าเป็นในสายพื้นฐาน เราซื้อหุ้นในจุดที่มี Margin of safety /PE/PS ตรงตามที่เราต้องการหรือไม่
- เราวางเงินในการเทรดครั้งนี้ ตรงกับแผนหรือสถานการณ์ที่เราวางไว้หรือไม่ เช่น เราต้องซื้อตามแผน 10% พอร์ต แต่เราดันเบิ้ลใส่ 20% หรือช่วงนี้เราคุม Exposure ที่30% แต่เรายังเร่งขึ้นไป 60% ก็จะโดนหักไป
- การออกสถานะ เช่น การตัดขาดทุน การทำกำไร ได้ตามแผนหรือไม่ ถ้าแผนคุณออกที่ 3R แล้วคุณดันออกที่ 4R แบบนี้ก็ถือว่าเราทำไม่ได้ตามแผนนะครับ เราไม่ได้ตัดสินที่ผลลัพธ์ แต่เป็นเรื่องการปฏิบัติตามแผน แต่เราจะเอาข้อมูลที่ได้นี้ไปประมวลแผนใหม่ ว่าจะต้องเพิ่มระยะการเทคกำไรมั้ย เมื่อเราได้ทำ post analysis มั้ย
- สภาวะการตัดสินใจ ว่าการปฎิบัติต่างๆ เราทำด้วยจิตใจที่ไม่ลังเลหรือไม่ หรือเราไม่มั่นใจ กลัว โลภ หรืออะไร เรื่องของจิตใจก็สำคัญครับ ถ้าเราทำได้ดีเราอาจจะเห็น pattern ซึ่งนำไปใช้แก้ปัญหาเกี่ยวกับ bias ของเราได้ครับ
การตรวจนี้เราสามารถทำเป็น checklist หรือระบบคะแนนก็ได้ครับ แล้วก็ใส่เหตุผลด้วยว่าทำไมเราถึงไม่ทำตามแผน จากนั้นเราจะรู้ว่าเราแหกกฏที่จุดไหนครับ แล้วอีกอย่างที่ควรทำด้วยคือ ให้เราเทียบผลลัพธ์ของการเทรดจริงๆ เทียบกับผลลัพธ์ที่ถ้าเราทำตามแผนเต็มที่เราจะได้ผลลัพธ์เป็นอย่างไรมาเทียบกัน
อีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากแนะนำสำหรับคนที่เป็น Full-time คือเราสามารถใช้หลักการนี้มาใช้ไม่ใช่แค่เรื่องของการเทรดรายตัวที่เราเทรดเท่านั้น แต่อาจจะเช็ค flawless จากเรื่องอื่นด้วยเช่นเรื่องของ Routine การนอน การออกกำลังกาย การเช็คสภาวะตลาดในแต่ละ Trading session การเขียน Journal การเตรียมตัวต่างๆ เพื่อให้เราเป็นเทรดเดอร์อย่างที่เราควรจะเป็นครับ
4. วางเงินให้เหมาะสม
การวางเงินที่ไม่เหมาะสม คือต้นเหตุยอดฮิตที่ทุกคนก็รู้แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังทำมันอยู่ครับ การถือสถานะที่ใหญ่เกินตัวจะทำให้อารมณ์ของคุณแปรปรวนจาก กำไร/ขาดทุนที่ขึ้น-ลงเกินไป สิ่งนี้จะเข้าไปรบกวนการตัดสินใจของคุณจนทำให้คุณเสียวินัยในที่สุด ฉะนั้นเราต้อง control เรื่องนี้ให้ดี และต้องไปออกแบบ Money Management ให้ชัดเจนและเหมาะกับ risk tolerance level ของเราครับ
5. โฟกัสให้ถูกจุด
การโฟกัสให้ถูกจุด ดูเหมือนเป็นคำที่ง่ายๆ แต่เป็นปัญหาใหญ่มากๆ ครับ โดยเฉพาะกับนักลงทุนและเทรดเดอร์ทุกคนมือใหม่ เพราะด้วยความที่เราเข้ามาในวงการตลาดทุนสิ่งที่เราต้องการมันคือ ความมั่นคั่งหรือ “ผลลัพธ์” ครับ
สิ่งที่หลายคนชอบตั้งเป้าหมายกันคือ ขอเดือนละ 10% ไม่ขาดทุนเลยซักวัน การเทรดนี้เราต้องกำไร all-in แม่ง บราๆ เราฝันว่าเราจะได้ความชัวในผลลัพธ์ของเรา ไม่ว่าจะเสี่ยงแค่ไหนหรือแหกแผนแค่ไหนก็ต้องได้ผลลัพธ์มาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง รวมถึงยังมีงานวิจัยอีกว่าการที่เราเอาใจไปยึดติดกับผลลัพธ์จะทำให้เราแหกวินัยมากขึ้น เพราะอารมณ์ของเราสวิงตามผลลัพธ์ที่เกิด เช่นได้เงินเยอะก็จะ overtrade ขาดทุนก็จะเริ่มท้อ เฉื่อย และไม่อยากทำตามแผน
ถ้าเรามามองความจริงและยอมรับมัน เราจะรู้ว่า เราไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์ได้โดยสมบูรณ์ครับ เพราะว่าอุตสาหกรรมที่เราอยู่มันเป็นอุตสาหกรรมที่เราจะต้อง bet กับอนาคต ไม่ว่าคุณจะเทรดหรือลงทุนด้วย timeframe ไหนก็ตาม ยกเว้นคุณจะรู้อนาคตหรือเป็นพระเจ้าเท่านั้น
ถ้าผลลัพธ์ทั้งหมดมันจะออกมาอย่างที่เราคิดเป๊ะๆ ได้จริงๆ ทำไมเทรดเดอร์ระดับโลก หรือนักลงทุนหลายๆ ท่านถึงยังมีการเทรดที่ขาดทุนครับ ถ้าคุณไปดู portfolio ของ berkshire hathaway ทำไมถึงมีหุ้นที่ขาดทุน ทั้งที่เขามีเม็ดเงิน ความรู้ กำลังคน หรือประสบการณ์มากขนาดนั้น ทำไมถึงยังขาดทุน ไม่กำไรทั้งหมด หรืออย่าง Mark Minervini เทรดเดอร์ระดับโลกก็มี win rate ไม่ได้สูงเว่อนัก
คนพวกนี้เขายังมีขาดทุนรายตัวและไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์ได้ทุกครั้งเลย พอคนนี้พวกนี้เขารู้ว่าเขาไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์ได้ตลอด คนพวกนี้เขาจึงเปลี่ยนจุดโฟกัสไปหาอะไรที่เขาสามารถควบคุมได้ นั่นคือการโฟกัสมาที่ “Process” หรือกระบวนการเทรดและการลงทุนครับ โฟกัสไปที่การพัฒนาทักษะ และการปฏิบัติตามกลยุทธ์ที่คุณได้วางมาอย่างเหมาะสม สุดท้ายเดี๋ยวเงินมันจะมาหาเอง ถ้าถามว่าเขาโฟกัสที่ Process มากกว่าผลลัพธ์กันจริงๆ มั้ย ผมเอา quote ของนักลงทุนระดับโลกหลายๆ ท่านมาให้ดูก็ได้ครับ
“Games are won by players who focus on the playing field, not by those whose eyes are glued to the scoreboard.”
– Warren Buffet –
“Don’t ask… how can I trade successfully? Ask… how can I trade successfully and enjoy the process? if you get the process right.. success is the result. But if its grueling.. you will quit. Learn to love the process”
– Mark Minervini –
“Why focus on the process when the world is outcome driven? Don’t result matter? Yes, results do matter. But if you optimize for the outcome, you win one time. If you optimize for a process that leads to great outcomes, you can win again and again”
– Linda Raschke –
ทั้ง 3 quote นี้มาจากบุคคลระดับตำนานของอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งทั้งสามก็มีวิธีในการลงทุน/เทรด ที่ต่างกัน แต่ก็มีระบบความเชื่อที่คล้ายกัน นั่นคือ โฟกัสที่ Process ไม่ใช่ผลลัพธ์ครับ จริงๆ แล้วผมสามารถหา quote ที่สนับสนุนความคิดเรื่อง Process over outcome ได้อีกเยอะ แต่ก็คิดว่าบทความนี้จะยาวเกินไปครับ
ในเมื่อบุคคลระดับเทพเหล่านี้ยังคิดแบบนี้แล้วทำไมเราถึงคิดว่าเราจะควบคุมผลลัพธ์ของเราได้แบบชัวๆ กันอีกครับ ผมว่าเราควรเปลี่ยนนะ เลิกคิดว่าจะได้กำไรชัว เดือนละ 5-10% แล้วหันมา focus เรื่องของการพัฒนาศักยภาพตัวเอง แผนการเทรด และเทรดตามวินัย มันอาจจะเป็นเส้นทางที่ทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายมากกว่าก็ได้ครับ หรือถ้าจะเอาคำพูดของสุดยอด coach เทรดเดอร์อีกคนอย่างคุณ Mike Bellafiore ที่มีคำพูดติดปากจนกลายเป็นชื่อหนังสือของเขาเลยนั่นคำว่า “One Good Trade” เทรดให้ดีก็พอ เดี๋ยวผลลัพธ์ระยะยาวจะตามมาเอง
ผมว่าความชัวเดียวในผลลัพธ์ของอุตสาหกรรมนี้ ทำได้วิธีเดียวเลยครับ นั่นคือการขายสินค้าและบริการ เช่น การขายคอร์สสองหมื่น รับห้าร้อยคน คุณก็ได้สิบล้านแบบชัวๆ แล้วครับ
หมายเหตุ การ force ผลลัพธ์ผมว่าที่ควรทำก็มีบางสถานการณ์ครับ เช่น การสมัครสอบเข้าเป็นเทรดเดอร์ของสถาบันหรือการแข่งเทรดต่างๆ ที่เขาจะมีโจทย์ให้เราทำ เช่น ทำผลตอบแทนได้จำนวนเท่าไหร่ แล้วควบคุม DD เท่าไหร่ เป็น mission ตาม period ต่างๆ ซึ่งเราจำเป็นต้องใช้ความสามารถและเครื่องมือทางการเงินมาทำให้บรรลุเป้าหมาย แต่ยังไงก็ต้อง focus ที่กระบวนการเป็นพื้นฐานสำคัญอยู่ดีครับ
และนี่ก็เป็น 5 อย่างสำคัญที่โดยปกติผมใช้เพื่อพัฒนาตัวเองให้มีวินัยมากขึ้นครับ จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายเรื่องที่อาจจะช่วยได้ เช่น การออกกำลัง พักผ่อนให้เพียง การหาตัวช่วยเช่น partner หรือทีมมาช่วงคุมให้เทรดได้ตามแผน หรือการอ่านเกี่ยวกับอคติและจิตวิทยาการเทรดเพิ่มเติมก็เป็นสิ่งที่ทำให้คุณพัฒนาในฐานะนักลงทุน/เทรดเดอร์เช่นกัน แล้วก็อันนี้เป็นเพียงความเห็นของผม จะเอาอะไรไปใช้ก็คิดให้ดีก่อนนะครับ โดยส่วนตัวผมก็ยังอ่อนด้อยในด้านนี้เช่นกัน ก็ต้องพัฒนากันต่อไป เราต้องเชื่อว่าเราพัฒนาได้ครับ สุดท้ายนี้ขอทิ้งท้ายไปด้วยประโยคนี้ครับ
“Winning in any endeavour is mostly a function of attitude. If your goal is to trade like a professional and be a consistent winner, then you must start from the premise that the solutions are in your mind and not in the market.”
– Mark Douglas –
ฝากกด like และ share หรือ comment เป็นกำลังให้เพจทำบทความต่อไปด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
Leave a Reply