– ท่าไม้ตายกับการเทรดหุ้น โดย Humble Trader Diary –

บทความนี้เกิดมาจากที่เมื่อวันก่อนผมไปเที่ยวแล้วเดินผ่านภาพกราฟฟิตี้บนกำแพงของสุดยอดซุปเปอร์หนังแอคชั่นอย่าง บรูซ ลี เข้า มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงช่วงฝึกเล่นหุ้นปีแรกที่ครูของผมท่านนึงได้เอา คำคมของบรูซ ลี มาแปะเพื่อใช้ในการสอนเทรดหุ้นในคลาสสัมมนา
“ไม่ใช่คนที่ฝึกเตะมาเยอะกว่า 10,000 ท่าหรอกที่น่ากลัว แต่เป็นคนที่ฝึกเตะท่าเดียวซ้ำๆมาเป็น 10,000 ครั้งต่างหากที่ผมกลัว”
บรูซ ลี
คำคมนี้สะท้อนให้เห็นถึง การจดจ่อในการฝึกฝนตัวเองในแนวทางใดไม่กี่แนวทางเพื่อให้เกิดความชำนาญระดับสูงอาจจะให้ผลที่ดีกว่าการที่เราฝึกฝนตัวเองในหลายๆแนวทางแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญซักอย่าง
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าประโยคนี้ค่อนข้างจะเป็นจริงครับ แล้วเป็นจริงในหลายๆวงการ
ถ้าเราลองดูในภาพยนต์หรือการ์ตูนก็เช่นกัน
ฮอร์คอายในเรื่องอเวนเจอร์ก็ไม่ได้เหาะเหินเดินอากาศหรือปล่อยพลังได้ แต่สิ่งที่เขาสามารถทำได้คือความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธระยะไกลระดับเหนือมนุษย์ ทำให้เป็นกองกำลังสำคัญของหน่วยอเวนเจอร์
หรืออย่างในการ์ตูน ดราก้อนบอล ซุน โงกุน(โกคู) ไม่ว่าจะต่อยเตะกับศัตรูมาตลอดทั้งเรื่อง แต่สุดท้ายก็ต้องปราบศัตรูด้วยไม้ตายพลังคลื่นเต่าหรือบอลเก็งกิทุกครั้งไป จนทำให้หลายๆคนเวลาเห็นตัวละครโงกุนจะคิดถึงพลังคลื่นเต่าก่อนดราก้อนบอลเสียอีก

ในด้านของแวดวงกีฬา ซึ่งผมจะเป็นคนที่ชอบดูกีฬาเป็นพิเศษอยู่แล้วยิ่งเห็นเรื่องพวกนี้ค่อนข้างชัดเจน ผมขอยกตัวอย่าง 3 นักกีฬาที่มีแนวทางเฉพาะตัว แล้วสามารถประสบความสำเร็จระดับสูงในโลกของกีฬา
คนแรก Floyd Mayweather
หนึ่งในนักมวยที่เก่งที่สุดตลอดกาลของโลก สไตลของฟรอยด์จะไม่ใช่สไตลเดินหน้าไล่ฆ่าอย่างเดียวแบบนักมวยทั่วๆไป แต่เป็นสไตล Defensive counter-puncher หรือสไตลตั้งรับและสวนกลับ และไม่ว่าจะไปต่อยกว่าใคร ฟรอยด์ก็มักจะตั้งรับให้แน่นไว้ก่อน ก่อนที่จะโจมตีคู่แข่ง ฟรอยด์ไม่ได้มีพลังหมัดหนักถ้าเทียบกับสุดยอดนักมวยคนอื่นๆ แต่สิ่งที่เขามีคือความรวดเร็ว และการอ่านจังหวะหมัดของคู่แข่งที่เหนือชั้นกว่าคนอื่น ด้วยเหตุนี้ทำให้สถิติการต่อยของฟรอยด์อยู่ที่ ชนะ 50 ครั้ง แพ้ 0 ครั้ง หรือเรียกง่ายๆว่า ไร้เทียมทาน
คนที่สอง Arjen Robben
สุดยอดปีกขวาชาวดัตช์ รอบเบนในวัย 35 ปี อยู่ทีมชั้นนำของโลกมาแล้วหลายทีม ทั้ง PSV, Chelsea, Real Madrid และ Bayern Munich รวมถึงเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในการคว้ารองแชมป์โลกฟุตบอลโลก 2010 ถ้าใครดูบอลอยู่แล้วก็จะจดจำสไตลของเขาได้ดี แทบจะตลอดอาชีพของรอบเบนสิ่งที่รอบเบนมักจะทำอยู่เป็นประจำคือ การไปรับบอลที่ปีกขวา แล้วเลี้ยงหักซ้ายเข้าหากรอบเขตโทษแล้วจัดการสังหารประตู รอบเบนจะเล่นอย่างงี้แทบจะทุกการแข่งขันจนเรียกได้ว่าเป็นท่าไม้ตายของเขาเลย แต่สิ่งที่แปลกกว่าคือ ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้ว่ารอบเบนเล่นแบบนี้ แต่ก็มีน้อยคนมากที่จะหยุดเขาอยู่ ในปี 2014 เขาลงสนามในลีคให้กับเสื้อใต้บาเยิร์น มิวนิค 21 นัดแต่ยิงได้ถึง 17 ประตู ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากสำหรับตำแหน่งปีกคนหนึ่ง ตลอดอาชีพของเขา รอบเบนคว้าถ้วยแชมป์มากกว่า 20 ใบ และเป็นหนึ่งในต้นแบบของปีก Inside-Forward ที่เก่่งที่สุดในโลก
คนที่ 3 Dirk Nowitzki
นักบาสชาวเยอรมัน โดยปกติแล้วตำแหน่ง Power Forward (PF) ที่เดิร์คเล่นมักจะต้องใช้ความแข็งแกร่งเพื่อชิงความได้เปรียบในพื้นที่วงในใต้ปากห่วงเป็นหลัก แต่สิ่งที่เดิร์คมีในช่วงแรกเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับ PF คนอื่นๆเลยคือ เดิร์คไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งและรวดเร็วเหมือนกับนักกีฬาคนอื่น มีแต่การยิงระยะกลางที่พอจะนำไปใช้สู้กับเขาได้ หลังจากผ่านปีแรกไป แทนที่เขาจะมุ่งฝึกไปที่การเล่นวงในที่ PF ส่วนใหญ่ฝึก เขากลับพัฒนาไปที่จุดแข็งของเขาคือการชู๊ตระยะกลาง และชู๊ตระยะไกล ค่าเฉลี่ยของเดิร์คในการยิงสามคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 21% ไปเป็น 39% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยการยิงสามแต้มของตำแหน่ง PF ที่สูงมากในสมัยนั้น ด้วยสิ่งที่เขาพัฒนาขึ้นมามันทำให้คู่แข่งของเขามักมึนงงในการป้องกัน จากที่ป้องกันแค่วงในแต่พอเจอกับเดิร์คเขาจะต้องป้องกันทั้งระยะกลางและระยะสามแต้ม ยิ่งไปกว่านั้นเดิร์คได้สร้างเทคนิคการยิงเฉพาะตัวที่เรียกว่า one-legged fadeaway โดยการกระโดดถอยหลังยิงโดยการยกขาข้างนึงขึ้นมาไม่ให้ฝ่ายป้องกันสามารถบล็อคเขาได้ เรียกได้ว่าท่านี้เป็นหนึ่งในท่าไม้ตายตลอดกาลของวงการบาสเก็ตบอลที่แทบจะไม่มีใครสามารถป้องกันได้เลยยกเว้นว่าเดิร์คจะยิงพลาดเอง และในฤดูกาล 2006 เดิร์ก โนวิตสกี ขึ้นสู่จุดสูงสุดของตัวเองโดยได้รับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าของ NBA และคว้าแชมป์NBA ได้สำเร็จในปี 2010
สุดยอดนักกีฬาทั้ง 3 คนที่ยกมาล้วนไม่ใช่นักกีฬาที่สมบูรณ์แบบหรือไม่มีจุดอ่อน แต่พวกเขาเลือกที่จะฝึกฝนและพัฒนาสิ่งที่เหมาะสมและถนัดไปให้ถึงขีดสุดจนสามารถประสบความสำเร็จ

เรามาดูในโลกของการลงทุนและการเก็งกำไรกันบ้าง ผมขอยกตัวอย่าง 4 บุคคลที่ประสบความสำเร็จในตลาดทุนระยะยาวและมีสไตลการเทรดที่โดดเด่น
Richard Donchian
บิดาของนักเทรดสาย Trend Following บุคคลท่านนี้เป็นผู้วิจัยและพัฒนาแนวคิดการลงทุนตามแนวโน้มอย่างเป็นระบบมาเผยแพร่เป็นคนแรกๆ ซึ่งโดนส่วนใหญ่แล้วระบบการลงทุนเทรดตามแนวโน้มในยุคหลังๆล้วนมีรากและแก่นมาจากระบบของคุณดอนเชี่ยนทั้งนั้น ถ้าเคยตามอ่านอัตตาชีวประวัติของท่านมาบ้างจะพบว่าท่านไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพราะท่านเริ่มต้นในช่วงของ Market Crash ปี 1929 และช่วงของสงครามโลก แต่ด้วยความยึดมั่นในแนวทางและความตั้งใจในการศึกษาพัฒนาระบบเทรดตามแนวโน้มทำให้ท่านประสบความสำเร็จในที่สุด สำหรับใครที่ยังไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับบุคคลท่านนี้ แล้วสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเก็งกำไรสาย Trend Following ผมแนะนำว่าให้ลองไปหาอ่านดูนะครับ สามารถลอง Search ดูใน Google ได้ เช่น The 4-Week Rule (4WR) by Richard Donchian, Donchian Channel, เว็บ Trend Following ของ M. Covel หรือในเว็บของ Turtle Trader ส่วนแหล่งความรู้ในไทย พี่เอก Cwayinvestment เคยลงคลิปใน Youtube เกี่ยวกับคุณดอนเชี่ยนเอาไว้ให้ศึกษาครับ
Nicolas Darvas
เทรดเดอร์นักเต้นผู้เปลี่ยนเงิน $36,500 เป็น $2,000,000 ภายในระยะเวลา 3 ปีด้วยระบบที่ท่านเรียกว่า “Box System” สิ่งที่โหดของท่านคือ ท่านใช้การอ่านหนังสือพิมพ์ Barron’s weekly ในการวิเคราะห์และหาข้อมูลเกี่ยวกับหุ้น แล้วส่งโทรเลขเพื่อส่งคำสั่งซื้อขายให้โบรกเกอร์ขณะที่ท่านทำการแสดงเต้นรอบโลก ในอัตตชีวประวัติของคุณดาวาสท่านมักใช้เวลาว่างหลังจากทำการแสดงเต้นมาอ่านหนังสือเทรดหุ้นมากกว่า 100 เล่มแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นนักอ่านและนักศึกษาหุ้นตัวยง กลยุทธที่ท่านใช้จะเป็นการผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานกับปัจจัยทางเทคนิค โดยการหาผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมที่โดดเด่น แล้วเข้าซื้อเมื่อหุ้นทำการทะลุฐานราคาพร้อมปริมาณซื้อขายที่หนาแน่น ทุกคนสามารถหาอ่านเรื่องราวของท่านได้จากหนังสือ “How I Made $2 Million In The Stock Market”
William(Bill) J. O’Neil
หนึ่งในพ่อมดตลาดหุ้นผู้ที่สามารถซื้อเก้าอี้ในตลาด NYSE ตั้งแต่อายุ 30 ปี ซึ่งขณะนั้นเป็นสถิติคนที่เด็กที่สุดที่สามารถซื้อได้ จุดเริ่มต้นความสำเร็จของคุณบิลเกิดจากการศึกษากองทุนของคุณ Jack Dreyfus และการศึกษาหุ้นผู้ชนะทั้งหมดในอดีต ทำให้เกิดเป็นกลยุทธ CANSLIM กลยุทธที่ผสมผสานปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคพร้อมกับการอ่านตลาด เกี่ยวกับเรื่องราวของท่านผมขอข้ามไปนะครับ เพราะคิดว่าน่าจะได้เขียนอีกบ่อยๆ
Mark Minervini
พ่อมดตลาดหุ้นผู้ชนะการแข่งขัน the U.S. Investing Championship ปี 97 ในช่วงที่ท่านดังขึ้นมา ท่านทำผลตอบแทน 220% ต่อปีเป็นเวลา 5 ปีติด พ่อมดตลาดหุ้นคนนี้ก็เป็นคนที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ใช้เวลาถึง 5 ปีเปลี่ยนจากเทรดเดอร์ที่ขาดทุนกลายเป็นผู้ชนะในตลาด ด้วยกลยุทธ Specific Entry Point Analysis ที่คิดค้นขึ้นในการหาหุ้นนำตลาด ผมแนะนำให้สำหรับผู้ที่ไม่เคยอ่านผลงานของท่านมาก่อนให้ลองไปหาอ่านกันนะครับ มีแปลไทยแล้ว 2 เล่ม Trade like a stock market wizard และ Momentum Master ส่วนเล่มที่ 3 Think & Trade Like a Champion แปลไทยน่าจะออกภายในปีนี้ หรือถ้าใครคล่องภาษาอังกฤษ จริงๆตอนนี้สัมมนาออนไลน์และการเทรดของท่านก็มีเผยแพร่อยู่ตลอด เราสามารถหาอ่านได้ตลอดครับ
จากที่ได้กล่าวมานักลงทุนต้นแบบทั้ง 4 ท่านที่ได้กล่าวมาล้วนมีมีวิธีคิดและหลักการเทรดที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สำคัญคือพวกท่านเป็นคนที่ทำงานหนัก และพัฒนาหลักการการลงทุนจนเกิดเป็นไม้ตายหรือรูปแบบเฉพาะตัวที่สามารถตักตวงผลประโยชน์ออกไปจากตลาดได้อย่างสม่ำเสมอครับ

สุดท้ายแล้วผมไม่ได้บอกให้ทุกคนเลิกศึกษาในหลายๆแนวทางของการลงทุน แต่อยากให้ทุกคนลอง Focus ไปทีละแนวทางก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งมือใหม่ที่เพิ่งเริ่ม Career อย่าเพิ่งรีบไปศึกษามันทุกแนว จะ Day Trade, Swing, Trend, VI, Grid เอาซักอย่าง Indicator ก็อย่าเพิ่งใส่จนมันเต็มจอ เลือกศึกษาทีละ 1-2 ตัวก่อนก็พอ ไม่ใช่ใส่แม่งหมดทั้ง EMA STO MACD BB RSI ADX ซึ่งในช่วงใหม่ๆผมก็เป็นครับหน้าจอล้น ครูของผมให้นำมันออกหมด แล้วก็มาเริ่มฝึกทีละอย่าง ทุกหลักการมันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งสำคัญไม่ใช่เรื่องของอะไรดีกว่าอะไร แต่เป็นเรื่องของการทำงานหนัก ค้นหาตัวเองว่าเราเป็นอย่างไรและเหมาะกับอะไรมากกว่า หาตัวเองให้เจอ แล้วลองค่อยๆฝึกอะไรที่มัน Make Sense กับธรรมชาติของเรา พอพัฒนาจนมันเชี่ยวชาญจนเกิดเป็นไม้ตายของเราแล้ว ก็เลือกเอาว่าจะ Focus ไปที่การเทรดแบบนั้นเลย หรือค่อยๆบิดออกไปหาแนวใหม่เพื่อใช้ในการเล่นสภาวะตลาดในรูปแบบอื่นๆ สุดท้ายผมขอทิ้งท้ายบทความนี้ด้วยบทสัมภาษณ์ของ Mark Minervini ที่สัมภาษณ์ไว้กับ stockopedia ปี 2017 นะครับ
You can have a value player buying stocks that I wouldn’t touch, and they do very well. Whereas I’m buying growth stocks with P/E ratios that are higher than a value investor would ever think of buying, but we can both do well. The key is to really know your strategy. But you have to narrow it down and come up with something that makes sense to you and then commit to it. You’re not going to be good at a lot of different strategies. You have to make a commitment to one area and spend time learning it so you become really good at it, rather than just dabbling with different styles. You want to be a specialist, not a jack-of-all-trades. (Minervini, 2017)
โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
Leave a Reply