บทเรียนจาก Nicolas Darvas เพราะวิธีของผมคือวิธีที่ตลาดหุ้นทำงาน
บทความนี้เป็นบทความแปลที่มาจากบางส่วนของ Interview คุณ นิโคลัส ดาร์วาส หนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดของตลาดวอลล์สตรีทในช่วงปี 1950 และเจ้าของหนังสือ How I Made $2,000,000 in the Stock Market
บทความนี้สัมภาษณ์ในช่วงก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตไม่นาน คิดว่ามีประโยชน์ต่อผู้อ่านก็เลยนำมาแปลบางส่วนครับ
ผู้สัมภาษณ์:
คุณดาร์วาส คุณคิดว่าทัศนคติของคุณช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นมั้ยครับ ?
ND:
ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมไม่เคยเศร้าตอนที่ผมขาดทุน เมื่อระบบการลงทุนของผมสั่งให้ทำผมไม่เคยเซ็งเลยที่ต้องขายหุ้นที่ผมชนะแล้วออกจากตลาดไปแม้มันจะเป็นเวลาหลายเดือน ผมไม่เคยตื้นเต้นหรือกระวนกระวายเลยในการถือหุ้นที่ผมชนะ เมื่อมองกลับไปผมก็ค่อนข้างประหลาดใจเหมือนกันว่าผมทำเงินจาก $25,000 ไป $2,000,000 แล้วยังรู้สึกสงบได้ยังไง นี่แหละคือผมหละ หลักจากที่ผมประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงปลาย 1950 ผมแบ่งกำไรบางส่วนไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ผมแค่รู้สึกว่ามันต้องเห็นอะไรเป็นตัวเป็นตนหน่อยถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ หลังจากความสำเร็จรอบนั้นผมรู้สึกว่าผมแค่ต้องเข้าไปร่วมเกมแค่นั้น ถ้าผมทำตามกฎผมจะได้ตัง ถ้าผมแหกกฎผมจะเสียตัง ความท้าทายของผมคือทำตามกฎของเกมให้ได้เท่านั้น
ผู้สัมภาษณ์: แบบนี้แสดงว่าคุณก็ยังเทรดพลาดใช่มั้ยครับ
ND: แน่นอน มันยากนะที่จะไม่ลองหรือทำอะไรชุ่ยๆบ้าง ถึงแม้ว่าคุณจะมีวิธีในการทำเงินแล้ว ในบ้างครั้งผมก็แหกกฎแล้วก็เสียตัง แต่ทุกวันนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นแล้วนะ
ผู้สัมภาษณ์: ตลาดเปลี่ยนไปบ้างมั้ยครับ?
ND: สั้นๆเลยนะ ไม่เปลี่ยนเลย
ตลาดหุ้นเป็นที่สะท้อนอารมณ์ของมนุษย์ ผู้คนต้องการเข้าใจมันอย่างท้องแท้ มันไม่ใช่เรื่องของเหตุผล, งบการเงินของบริษัท, คณิตศาสตร์ แต่เป็นเรื่องอารมณ์ เมื่อเหตุผลมาชนกับอารมณ์ อารมณ์มันมักจะชนะเสมอ
วิธีที่ผมทำเงินในช่วง 1950 ก็เหมือนกับวิธีที่ลิเวอมอร์และบารุชทำเงินในยุคของพวกเขา ผมเทรดวิธีเดิมนี้ในช่วงปี 1960-1970 และผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่าผมจะเทรดแบบนี้ไปจนถึงปี 2000 วิธีนี้มันคือการโต้คลื่นยักษ์แห่งอารมณ์ไปให้ถึงจุดสูงสุดของมัน นี่แหละวิธีทำเงินที่ได้ผลที่สุด มันค่อนข้างจะเป็นวิธีที่บ้านะ แต่พวกเราก็เป็นเพียงแค่มนุษย์เท่านั้นแหละ
ผู้สัมภาษณ์: ผมได้อ่านหนังสือของคุณแล้ว ผมอยากถามอะไรซักอย่างนึง คุณบอกว่าคุณไม่เคยเทรดในตลาดหมีเลย คุณจะเทรดเมื่อตลาดมอบโอกาสที่สูงสุดที่ทำให้คุณเทรดชนะนั่นคือตลาดกระทิง แล้วคุณทำยังไงถึงรู้ว่าช่วงนี้จะเป็นตลาดหมีหรือตลาดกระทิงครับ?
ND: มันค่อนข้างซับซ้อนนะครับ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ผมแค่ดูกราฟสัปดาห์ของตลาดในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเท่านั้นเอง ถ้าตลาดมันยังลงอยู่นั่นคือตลาดหมี ถ้าตลาดมันไซด์เวย์หรือขึ้นผมจะเฟ้นหาหุ้น ง่ายๆแค่นี้แหละ
ผู้สัมภาษณ์: แค่นี้เหรอครับ? 555 เยี่ยมมาก พวกนักวิเคราะห์ใช้เวลาวันแล้ววันเล่าในการศึกษา อย่างรายงานเศรษฐกิจ แนวโน้ม การคาดการณ์และอีกอื่นอีกเยอะแยะ และคุณแค่ใช้ชาร์ทรายสัปดาห์เนี่ยนะ แล้วพวกเขาไม่ควรทำแบบเดียวกันเหรอครับ?
ND: ผมก็ค่อนข้างขำกับแนวทางที่ตลาดหุ้นมันทำงานเช่นกันนะ คุณจะแสวงหาวิธีที่เรียบง่ายที่สุดที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จอยู่ตลอดแหละ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมไม่เคยศึกษาวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เพ้อฝันเลย มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลสำหรับตัวผม
ผู้สัมภาษณ์: การวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เพ้อฝันคืออะไรครับคุณดาร์วาส
ND: วิธีของผมมันสมเหตุสมผลสำหรับผม ผมต้องสามารถอธิบายมันกับภรรยาของผมได้ด้วย ซึ่งแน่นอนเธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหุ้น และเธอต้องเข้าใจได้ด้วยว่าทำไมมันถึงเวิร์ค ง่ายๆเลยคือมันค่อนข้างสมเหตุสมผลมาก วิธีการของผมเกือบทั้งหมดคือการดูหุ้นที่คนต้องการ, ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ดีที่สุดและเทรดในตลาดที่ไม่ใช่ขาลง ผมจะขี่พวกมันไปจนกว่ามันจะบอกผมว่าการเดินทางนี้สิ้นสุดแล้วผมจะลง สมเหตุสมผลมั้ยหละ?
แต่ถ้าคุณลองถามเทรดเดอร์หลายๆคนอธิบายวิธีของพวกเขาสิ พวกเขาจะพูดถึง Elliot Wave, Fib. Retracement หรือวัฏจักรอะไรต่างๆนาๆทันทีเลย คำถามที่ผมจะถามอยู่ตลอดเลยคือ ทำไมหุ้นต้องขึ้นเพราะเรื่องพวกนี้? สิ่งที่ผมได้กลับมาเสมอคือความว่างเปล่า พวกเขาไม่ได้มีเหตุผลที่ดีเลยในการเทรดหุ้นเหล่านี้ เหตุผลพวกนี้มันไม่ make sense พอที่หุ้นจะขึ้น และผมพบว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ซับซ้อนส่วนใหญ่ก็ไม่สมเหตุผลเช่นกัน เทรดเดอร์จะเก่งกว่านี้อีกเยอะถ้าเขาใช้เวลาในการจัดการตัวพวกเขาเองรวมถึงเงินของพวกเขา แทนที่จะไปแสวงหาความลับในตลาด
ผู้สัมภาษณ์: นิค ถ้าอ่านหนังสือของคุณ มันเห็นได้ชัดเลยว่าคุณเทรดเสี่ยงมากในช่วงต้นของอาชีพคุณ ผมหมายถึง มีอยู่ช่วงหนึ่งคุณเคย All-in ทั้งพอร์ต +50% margin จะพูดได้มั้ยว่าถ้าการเทรดนั้นมันพลาดคุณจะไม่ได้รวยอย่างที่คุณเป็นอยู่ทุกวันนี้ บางคนเรียกคุณว่านักพนันและคนที่โชคดีจากตลาดเท่านั้น คุณจะตอบกลับอะไรกับนักวิจารณ์พวกนี้บ้างครับ?
ND: คุณกำลังพูดถึงที่ผมเทรดใน E.L.Bruce ใช่มั้ยครับ? ผมจะพูดยังไงดีหละ? แน่นอนเลย ถ้ามองย้อนกลับไปในการเทรดครั้งนั้นมันก็ค่อนข้างเหมือนการพนันนะ แต่การเทรดนั้นก็ตอบแทนผมด้วยเงินจำนวน $295,000 และในเวลานั้นทุกอย่างก็เหมือนจะถูกต้องไปหมด ตลาดหุ้นก็เป็นขาขึ้นที่แข็งแกร่ง ราคาและปริมาณซื้อขายก็เยี่ยม ก่อนหน้าการเทรดครั้งนั้นผมก็ได้กำไรมหาศาลจาก Lorillard และ Diners Club ซึ่งผมคิดว่าถ้าผมวาง Stop loss ไว้แคบแล้วผมเสีย ผมก็จะเสียกำไรกลับไปเพียงนิดเดียว
นักพนันคือคนที่ซื้อและตั้งความหวัง แน่นอนว่าครั้งนั้นผมเทรดหนักแต่ผมจะทำเมื่อองค์ประกอบทุกอย่างมันเหมาะเจาะเท่านั้น ผมสามารถที่จะไม่เทรดเลยเป็นเวลาหลายเดือน หรือแม้แต่เป็นเวลา 2 ปีก็ได้ ผมไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปเพื่อเสียตังในตลาดโดยการเทรดหุ้นเก่าๆ สิ่งที่ผมจะทำคือดูว่าหุ้นตัวนั้นว่ามันมีโอกาสที่จะเป็นการเทรดที่ดีรึเปล่า ถ้าไม่ใช่ผมก็แค่ปล่อยมันผ่านไป และเมื่อผมเทรดแล้วผิดทางผมก็แค่ออกแล้วรับการขาดทุนเล็กน้อย ผมไม่เคยปล่อยให้ตัวเองขาดทุนหนักจนควบคุมไม่ได้เลย สิ่งที่ผมทำนี่เรียกว่าการ “พนัน” หรือ ”ความประมาท” เหรอครับ?
ผู้สัมภาษณ์: คุณให้คำนิยามตัวเองว่าคุณเป็นเทรดเดอร์หรือนักลงทุนครับ?
ND: คุณจะบอกให้ผมนิยามตัวเองเหรอ? มันไม่น่าจะมีคำจำกัดความที่ถูกนะ ในคำจำกัดความของผม ผมเป็นเพียงแค่นักลงทุนเท่านั้น ผมจะดูอุตสาหกรรมที่เกิดใหม่ที่แข็งแรงที่สุด และเพ่งดูหุ้นที่กำไรมากที่สุดในอุตสาหกรรมนั้น แล้วก็รอให้พวกที่มีเงินจำนวนมากหวดหุ้นนี้ให้ขึ้นมาแล้วผมค่อยเข้าร่วมปาร์ตี้กับมัน
ผู้สัมภาษณ์: อุุตสาหกรรมเกิดใหม่? คุณไม่ได้ดูอุตสาหรรมที่ใหญ่สุดในตลาดแต่ดูอุตสาหกรรมเกิดใหม่เหรอครับ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นครับ?
ND: ลองคิดดูสิครับ วิธีของผมไม่มีอะไรเหนือกว่า common sense เลย อุตสาหกรรมใหม่คือที่ที่”ความคาดหวัง” อยู่เพราะว่ามันแปลกใหม่ ผู้คนต่างตื่นเต้นกับมันและมองมันในแง่ดี หุ้นเกือบทั้งหมดไม่ได้เทรดอยู่บนสิ่งที่มันทำไปแล้วแต่เทรดอยู่บนสิ่งที่คนคิดว่ามันจะทำอะไรในอนาคต อุตสาหกรรมใหม่ก็จะมีเงินลงทุนใหม่ๆเข้ามา ไอเดียใหม่ๆ ความหวังใหม่ๆ
ผมคงไม่ลงทุนในกิจการวิทยุ, รถยนต์และทีวี เพราะมันผ่านช่วงพีคไปแล้ว มันเป็นแค่สิ่งใหม่ในอดีต ผมต้องการที่จะโฟกัสไปที่อะไรที่ทันสมัย ทุกวัฎจักรของตลาดหุ้นมักนำผมไปที่อุตสาหกรรมใหม่เสมอ
ผู้สัมภาษณ์: ผมขอสรุปหน่อยนะครับ วิธีการของคุณคือ รอให้ตลาดเป็นขาขึ้น แล้วดูที่อุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่นำตลาด แล้วในอุตสาหกรรมนั้นๆคุณก็หาตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม แล้วรอมันเข้าจุดซื้อของคุณใช่มั้ยครับ?
ND: ใช่เลยครับ
ผู้สัมภาษณ์: เหมือนว่าคุณจะพบว่ามันง่ายมากที่จะประสบความสำเร็จในตลาดแต่ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงล้มเหลวหละครับ? มันไม่แปลกเหรอที่คุณทำมันได้แบบไม่ต้องพยายามเลย แต่คนประมาณ 99% นั้นขาดทุนกันหมด?
ND: ไม่ใช่ว่าผมทำเงินได้อย่างมากในตลาดแล้วผมจะคิดว่ามันง่ายนะครับ ผมก็ทำผิดพลาดอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน แม้แต่ในช่วงหลังที่บางครั้งผมแหกกฏของตัวเองแล้วเสียเงินจากคำแนะนำของคนอื่น พวกเราต่างเป็นมนุษย์และทำผิดพลาดกันทั้งนั้น อย่าลืมว่าผมก็ผ่านช่วงเรียนรู้ในปี 1953-1958 เหมือนกัน ช่วงนั้นผมเสียเงินไปเป็นจำนวนมากก่อนที่ผมจะทำงานหนักจนรู้ว่าอะไรที่มันใช้ได้ในตลาด แล้วจากนั้นผมก็โชคดีพอที่อยู่ถึงช่วงปี 1958-1960 ที่ตลาดเป็นขาขึ้น
ผมได้รับจดหมายเป็นร้อยๆจากนักลงทุนทุกๆปีและผมก็เห็นแพทเทิร์นความล้มเหลวซ้ำๆอยู่ตลอด เหตุผลสำคัญที่พวกเขาผิดพลาดเลยคือ พวกเขาไม่ทุ่มเทในวิธีการใดวิธีหนึ่ง, พวกเขาเชื่อข่าววงใน, คำแนะนำและซื้อหุ้นราคาต่ำๆ พวกเขาขาดวินัยที่จะอยู่กับวิธีใดวิธีหนึ่งแล้วรอเวลาที่มันจะประสบความสำเร็จที่สุด พวกเขาโลภ พวกเขาไม่เรียนรู้ว่าพื้นฐานของการเทรดที่ดีคืออะไร พวกเขาไม่ทุ่มเทใจและทุ่มเทเวลาที่จะเข้าใจว่าตลาดหุ้นมันทำงานยังไง
ผมขอแนะนำว่าใครยังไม่ได้อ่าน How I Made $2,000,000 in the Stock Market ก็ลองหาอ่านนะครับ แปลไทยก็เหมือนว่าจะมีเช่นกัน หนังสือสนุกและให้ข้อคิดที่ดีต่อเทรดเดอร์แน่นอนครับ
โชคดีในการลงทุนครับ
Leave a Reply