บทความ A Defensive Mentality วิชาเอาตัวรอดในตลาดหุ้น โดย Humble Trader Diary
“แอดมินคุมความเสี่ยงยังไงบ้างครับ”
“ผม drawdown หนักทำไงดีแอด”
“พี่มีวิธีคัทยังไงบ้างอ่ะ”
“พอร์ตผมแม่งวูบหวะพี่ทำไงดี”
“คัทรัวๆ แล้วใจเสียทำไงดีแอด”
คำถามพวกนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ผมยกมาจากแชทที่ผมคุยกับแฟนเพจในช่วงนี้ครับ ช่วงนี้มักจะเจอกับคำถามแบบนี้ ซึ่งตรงข้ามกับช่วงต้นปีเลย ต้นปีมีแต่คำถามแบบว่า
“ผมรันยังไงดีให้ไม่ขายหมู, ทำไงให้หาหุ้นเด้งได้, ใช้อินดิเคเตอร์ตัวไหนรันหุ้นได้ดีขึ้น”
ธีมของคำถามมันแตกต่างกันมากเลยครับ จากสภาพตลาดหรือ Market condition ช่วงต้นปีกับตอนนี้ค่อนข้างแตกต่างกัน ต้นปีง่ายกว่า ตอนนี้ยากขึ้น หลายๆ คนทำเงินไม่ได้แบบเดิม บางคนคืนตลาดไป หรือที่หนักกว่านั้นก็คือขาดทุนเลย
ผมคิดว่าทุกคนคงเข้าใจการหาหุ้นหรือวิธีทำกำไรกันอยุ่แล้วเพราะมันน่าจะมีให้อ่านอยู่ทุกที่ ฉะนั้นบทความนี้ก็เลยอยากเขียนอะไรที่มันเข้าธีมกับตลาดช่วงนี้ นั่นคือเรื่องของการเอาตัวรอดครับ ถือว่าเป็นการแนะนำนักลงทุนหน้าใหม่ไปในตัวด้วย ถ้าใครคิดว่ารอดแล้วสบายๆ ข้ามบทความนี้ได้เลยครับ เสียเวลาท่านเปล่าๆ
ผมขอใช้ชื่อบทความว่า A Defensive Mentality ซึ่งเป็นแนวความคิดหลักที่ผมใช้ในการเทรดครับ ตอนเด็กๆ ผมมันจะคิดแต่เรื่องทำกำไรเยอะๆ เอาไว้ก่อน แต่พอเวลาล่วงเลยมาเกือบสิบปี ทุกวันนี้ผมมักจะเตือนตัวเองเสมอว่า
“ป้องกันตัวเองสำคัญสุด เอาตัวให้รอดก่อนแล้วอย่างอื่นจะตามมาเอง”
จริงๆ แล้วคำว่า Defensive Mentality มันเป็นศัพท์ที่ใช้ในวงการกีฬา คือ การเน้นเล่นเกมป้องกันหรือการเล่นเกมรับ ซึ่งจากประสบการณ์ของผมที่ดูกีฬามาตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลและบาสเกตบอล ที่แทบจะเรียกได้ว่า ไม่มีทีมกีฬาไหนเลยที่เกมป้องกันไม่ดีแล้วสามารถประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว บาสเกตบอลนี่เห็นชัด ทีมที่ผูกขาดความสำเร็จในแต่ละยุคล้วนแล้วแต่เป็นทีมที่มีผู้เล่นหรือโค้ชที่มีเกมรับที่ยอดเยี่ยมประกอบอยู่ในทีมทั้งนั้น (ฺBulls ยุค 90, Spurs x Lakers ยุค 2000 และ Heat x Warriors ยุค 2010)
“Offense sells tickets, defense wins championships”
– Paul Bryant –
ถ้าเราวกกลับมาที่เรื่องของการลงทุน ผมว่ามันมีความคล้ายคลึงกันมากครับ
ถ้าเรามาพูดถึงสมการที่ง่ายที่สุดเกี่ยวกับผลลัพธ์จากตลาดหุ้นคือ
ผลลัพธ์ = รายรับ (กำไร) – รายจ่าย (ขาดทุน)
ผมไม่ได้บอกว่าการเล่นเกมรุก (การทำกำไร) นั้นไม่สำคัญ จริงๆ มันสำคัญทั้งคู่ เราต้อง balance มันทั้งสองฝั่ง ไม่งั้นพอร์ตมันโตไม่ยั่งยืนตามเหตุของสมการที่กล่าวไว้ด้านบน แต่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเน้นศึกษาแค่การทำกำไรด้านเดียว เช่น การหาหุ้น ซื้อหุ้น หรือการเทคกำไร ส่วนทางด้านการป้องกัน หลายๆ คนอาจจะศึกษาแค่เรื่องของวิธีการตัดขาดทุน ซึ่งผมว่ามันไม่เพียงพอที่จะทำให้คุณเล่นเกมป้องกันได้อย่างรัดกุมครับ
ถ้าคิดว่าเราศึกษาด้านเกมรุกมากกว่าเกมรับในการลงทุนจริงมั้ย ?
ผมขอยกตัวอย่างแบบลวกๆ ถึงชื่อบุคคลเกี่ยวกับการลงทุน/เทรดมา 6 ท่านครับ
William O’Neil, Warren Buffet, Ed Seykota, Bennett A. McDowell, Ralph Vince, Van K Tharp
จากชื่อที่กล่าวมาข้างต้น คุณรู้จักบุคคลเหล่านี้กี่ท่าน และรู้จักพวกเขากันมากขนาดไหนครับ
ผมเชื่อว่า 70% น่าจะรู้จักสามท่านแรก (อย่างดี) และไม่รู้จักสามท่านหลังหรือรู้จักแต่ชื่อแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกเท่าสามคนแรกครับ
สามท่านแรกเป็นสุดยอดนักลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนระดับสุดยอดได้และมีวิธีการลงทุนที่โดดเด่นในยุคของท่าน ส่วนสามท่านหลังคือผู้ที่ผลักดันเกี่ยวกับทางด้านการบริหารเงินและบริหารความเสี่ยงและแต่ละคนเป็นเจ้าของหนังสือขายดีทางด้านนี้ครับ ซึ่งที่ยกตัวอย่างมาแบบลวกๆ นี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราน่าจะศึกษาทางด้านเกมรุกมากกว่าเกมรับ (ซึ่งเป็นเรื่องปกติครับ)
เพื่อเป็นการให้ผู้อ่านทุกท่านศึกษาทางด้านเกมรับได้ง่ายขึ้น วันนี้ผมก็เลยเอาวิธีเบื้องต้นที่ผมใช้ในการเล่นเกมป้องกันเพื่อเอาตัวรอดในการเทรดหุ้นครับ
ก่อนอื่นเลย ผมต้องบอกก่อนว่าสิ่งที่ผมใช้จะไม่ได้นำสินทรัพย์อื่นมาเกี่ยวเลย ยกเว้นหุ้นและเงินสดเท่านั้น และการเทรดจะเป็นแบบ Directional trading ที่เป็น long bias เพียงอย่างเดียว ฉะนั้นถ้าใครถนัดสินค้าและเทคนิคแบบอื่นก็สามารถเอามาผสมเข้าไปให้มันปลอดภัยได้มากยิ่งขึ้นครับ และผมจะไม่พูดถึงเทคนิคในด้านของการตัดขาดทุน (cut loss) จริงๆ เรื่องการตัดขาดทุนเป็นสิ่งที่สำคัญของกลยุทธ์ที่เป็นแบบ Directional trading แต่ผมว่ามันเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุและน่าจะมีคนพูดเรื่องนี้เต็มไปหมด
============
สิ่งที่ผมใช้มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่างหลักครับ คือ
1.Portfolio Structure
อย่าแรกคือการออกแบบโครงสร้างพอร์ตฟอลิโอ ยิ่งเราออกแบบโครงสร้างได้ดีและตามจุดประสงค์ (เพื่อความอยู่รอด) เรายิ่งมีโอกาสอยู่รอดสูงขึ้น และสามารถทำผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เราวางแผนไว้ได้ครับ ซึ่งสิ่งที่ผมใส่ใจเป็นหลักจะมีดังนี้ครับ
- จำนวนถือครองหุ้นในแต่ละสถานการณ์ ผมแนะนำให้มีจำนวนหุ้นประมาณ 4-12 ตัว ขึ้นอยู่ความดุดันและขนาดพอร์ตของแต่ละคนครับ ผมไม่แนะนำให้เล่นน้อยกว่านี้ครับ เวลาได้มันได้เยอะจริง แต่เวลาเสียก็เสียเยอะไม่ต่างกัน แล้วถ้ามันมีประเด็นในหุ้นที่คุณหวดหนักๆ พอร์ตของคุณมีสิทธิจะยวบสูงมาก อย่าที่บอกไปตั้งแต่ต้น concept ของผมคือ “เอารอดก่อน” อะไรที่เปิดโอกาสให้ผมมีสิทธิไม่รอด ผมไม่เอาเลยครับ
- อุตสาหกรรมของหุ้นที่เรามีอยู๋ใน Portfolio ปกติแล้วเวลาที่ผมมีสถานะผมจะพยายามกระจายอุตสาหกรรมไปหลายๆ อุตสาหกรรม เพราะมันมีความสัมพันธ์ต่อกันค่อนข้างสูงครับ เช่น กลุ่มเหล็กหรือเรือ เวลาขึ้นก็ขึ้นกันหมด เวลาลงก็ลงกันหมด ขึ้นเยอะก็ดีหรอกแต่ตอนลงมันก็ควบคุมพอร์ตยากครับ ผมจะพยายามไม่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันเกิน 30% พอร์ต หรือถ้ามากกว่านั้นจะต้องเป็นกรณีที่เราได้เงินชัวๆ แล้วจากหุ้นในอุตสาหกรรมนั้นแล้วตั้ง trailing stop ที่ค่อนข้าง tight ตัวเลขนี้ผมว่าสามารถปรับขึ้นปรับลงได้ตามวิธ๊การที่คุณเทรดเหมือนกัน ถ้าเล่นแนว Position trading หรือ Buy and hold ผมว่าควรปรับลดลง เพราะคุณต้องถือสถานะนานกว่าวิธีอื่น แต่ถ้าเล่นแนว Shorterm trading หรือ Swing trading อาจจะเพิ่มได้อีกหน่อย อาศัย Momentum จากอุตสาหกรรม แล้วรีบเข้าออกสถานะ ลดสัดส่วนลงเมื่อเริ่มได้กำไร เพื่อป้องกันช่วงหุ้นกลับทิศ
- ควบคุม Position size ของแต่ละตัวให้เหมาะสม โดยปกติผมคิดว่าเราไม่ควรซื้อเกิน 25% พอร์ตต่อตัว ทุกวันนี้ average size ของผมอยู่ที่ประมาณ 15% กว่าๆ ถ้าตัวมั่นใจและมี liquidity พอก็จะประมาณ 20% ยกเว้นถ้าผมได้กำไรจากตัวนั้นเยอะๆ แล้วอยากจะ add up ขึ้นไปก็อาจจะมากกว่านั้น แต่ผมจะทำการแยกออเดอร์เลย ออเดอร์เก่าที่กำไรก็ตั้งจุด trailing ตามแผน ไม้ใหม่ก็หาจุด stop loss ใหม่แยกกัน ทำในไฟล์ excel
- Portfolio Heat หรือความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตในแต่ละช่วงเวลาเป็นเท่าไหร่ ซึ่งสิ่งนี้จะคิดมาจาก bet size x stop loss ของแต่ละตัวมารวมกัน ปกติผมจะคิด Heat ที่ช่วง 2-6% (ถ้า leverage หรือ margin อาจจะสูงขึ้นกว่านี้ได้) อยู่ที่สถานการณ์ ถ้าสถานการณ์ดีฟอร์มดี Heat จะสูง แต่ถ้าสถานการณ์แย่ ฟอร์มแย่ ผมจะลด heat ให้เหลือต่ำมากๆ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นครับ ซึ่งการคุม Heat จะไปสัมพันธ์ต่อสัดส่วนของหุ้นและเงิน (Exposure) ด้วยครับ ถ้าเราวาง Heat และ Exposure อย่างรัดกุม โอกาสรอดตายก็จะสูงครับ
- ประเภทหรือขนาดของหุ้นที่เราเล่น โดยปกติผมจะกำหนดสัดส่วนของประเภทหุ้นด้วยว่าในพอร์ตมีหุ้นประเภทไหนบ้าง อันนี้ขึ้นแรงมั้ย อันนี้ไม่ค่อยผันผวนเท่าไหร่ ผมไม่แนะนำว่าเราควรจะมีแต่หุ้นที่ขึ้นแรงลงแรง อย่างที่บอกไปหลายรอบในบทความนี้ ขึ้นมันก็ดี แต่คุณไม่ได้โชคดีอยู่แค่ตอนที่มันขึ้นหรอกครับ โดยปกติแล้ว ผมจะมีหุ้นขนาดเล็กมากๆ ในพอร์ตไม่เกิน 20% ที่เหลือจะเป็นหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ (ส่วนตัวผมจะเน้นหุ้นขนาดกลางที่มี Market Cap 7000-30000 ล้านบาท) หรือถ้าจะเล่น W หรือ DW พ่วงก็ต้องคิดสัดส่วนดีดีครับ คุณสามารถใช้ 2 สิ่งที่จะพูดในหัวข้อถัดไปมาผสมเพื่อหาสัดส่วนตรงนี้ได้เช่นกันครับ ถ้าสถานการณ์เปิดหน้าแลกได้หรือหุ้นขนาดเล็กมันทำได้ดี เราอาจจะเล่นหุ้นขนาดเล็กเพิ่มเป็น 30-40% พอร์ตได้ แต่ถ้าสถานการณ์ยากที่ต้องการความชัวหรือเขาไปดันหุ้นกลุ่มที่ใหญ่กว่า คุณก็สามารถปรับสัดส่วนตรงนี้ลดลงแล้วไปเพิ่มหุ้นที่เป็นประเภทกลางหรือใหญ่ได้ครับ
2.Market Theory/ Market Sign
ในส่วนที่ 2 จะเป็นเรื่องของทฤษฎี หรือสัญญาณต่างๆ ที่มาใช้ในการประกอบการตัดสินใจ มีหลายทฤษฎีหรือสัญญาณทางเทคนิคหลายอย่างที่เราสามารถนำมาใช้ในเรื่องของการกำหนดกลยุทธ์และความเสี่ยงได้ เช่น การใช้เส้น moving average , Dow Theory, CANSLIM market direction, Market Breadth หรือ indicator ที่ใช้ดูการกลับทิศของตลาดมาจับจังหวะตลาด (SET) หาสถานะของมันว่าดีหรือแย่ เพราะโดยปกติแล้วถ้าตลาดไปใน direction ไหน หุ้นโดยส่วนใหญ่ 70-90% จะเป็นไปในทิศทางนั้นๆ ครับ ตลาดขาลง หุ้นส่วนใหญ่จะ perform ยาก, ตลาดขาขึ้นหุ้นส่วนใหญ่ก็ดีหากำไรไม่ยาก รวมถึงการดูตลาดรองเช่น Set50 Set100 Sset MAI มาจับกับ indicator เช่น moving average ก็น่าสนใจ จะทำให้เรารู้ว่าเงินมันไปอยู่ในหุ้นขนาดประมาณไหนในตอนนี้ เช่นในช่วงปี 21 นี้ตลาด sset, mai คึกคักกว่าหุ้นใหญ่ เราก็นำมากำหนดเป็นแผนและวางโครงในการจัดพอร์ตได้ครับ
เชิงทฤษฎีพวกนี้สำคัญนะครับ แต่ที่สำคัญกว่าคือ ในทางปฏิบัติมันเป็นอย่างไรเมื่อนำมาใช้ซะมากกว่า หลายๆครั้งทฤษฎีมันบอกแบบหนึ่งแล้วจะให้ผลลัพธ์แบบนึง แต่พอเรานำมาใช้แล้วได้ผลที่แตกต่าง เรื่องนี้ไม่แปกเลยครับ เพราะว่าทุกคนมีเอกลักษณ์ และสไตลล์การเทรดที่แตกต่างกัน ผมขอยกตัวอย่างนิดนึงของตัวเองเลยครับ ปีที่แล้วปี 2020 ช่วงเดือน ก.ค.- ต.ค. ถ้าเรามองไปที่ตลาด ตลาดจะเป็นขาลงครับ ส่วนตลาดรองจะออกแนวออกข้าง แต่นั่นเป็นช่วงที่พอร์ตของผม Performance ดีที่สุดในปีที่แล้วเลย ขณะที่ในช่วงพฤศจิกายนปีที่แล้ว ตลาดขึ้นหนักเลย พอร์ตของผมดันทำผลงานดูไม่จืดครับ ฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องทำต่อไปคือ Theory ไหนที่ใช้แล้วมันเหมาะกับเอกลักษณ์และสไตล์เทรดของเรา ซึ่งจะเก็บผล Back-test หรือ ทำ Post analysis ดูผลการเทรดแล้วจับไป match กับ Theory พวกนี้ก็ได้ว่าในแต่ละช่วงของเราเป็นอย่างไร ผลงานเราดีหรือแย่ อย่างผมพอเทรดมาซักระยะ เก็บผล แล้วทำการทดลองย้อนกลับ จะพบว่าบางทฤษฎีนี้ถ้ามันเกิดขึ้น 80% ของจำนวนครั้งที่เกิดพอร์ตผมจะ Drawdown อย่างมีนัยยะสำคัญ สิ่งที่ผมทำต่อไปก็คือ ปรับพอร์ตครับ เพิ่มการถือ cash แล้วก็ป๊อดเพลเซฟครับ หรือในหลายกรณีที่หลายๆ อย่างดูเหมือนไม่ดี แต่ถ้ามีสัญญาณบางอย่างเกิด ผมอาจจะเพิ่มพอร์ต เพราะผมทำเงินจาก condition นี้ได้ครับ
ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเขาทำแล้วได้ผลอะไร ช่างแม่งครับ คุณสนว่าตัวเองใช้อะไรแล้วมัน work พอ ซึ่งจะรู้ก็ต่อเมื่อคุณทำงานหนัก จดบันทึกและเอาจริงกับการลงทุนและการเทรดครับ
3.Performance Feedback
ไม่มี feedback ใดที่มีค่ามากเท่ากับผลงานการเทรดของคุณแล้วครับ
อย่างที่บอกในตอนท้ายของข้อ 2 ครับ Theory สำคัญแต่ actual trade สำคัญกว่า ซึ่งเราจำเป็นจะต้องรู้ให้ได้ว่า ณ ขณะนี้ผลงานของเราเป็นอย่างไรครับ ซึ่งมันก็หนีไม่พ้นเรื่องของการจดบันทึกการเทรดครับ โดยที่ผมจะจดเรื่องของ Equity curve, Underwater equity curve, Consecutive win/loss เอาไว้แล้ว Monitor มันครับ ผมจะใช้ในส่วนนี้ในการกำหนดแผนการเทรดและการวางเงินในด้านของ Heat และ Position size ร่วมไปกับ Theory ในข้อที่สองครับ ซึ่งถ้าผลงานเราดี ก็เพิ่มเงิน ผลงานเราแย่ก็ลดพอร์ต หรือถ้าดีเกินไปกว่าโดยปกติก็ต้องเฝ้าระวังหา action plan ว่าต้องทำไงให้พอร์ตไม่คืนกำไรไปมาก
สิ่งที่คนมักลืมไปคือชอบดูแต่ว่าหุ้นอยู่ในสถานะไหน ขาขึ้น sideway และขาลง แต่ลืมไปว่าจริงๆ ผลงานตัวเองก็เป็นลักษณะแบบนั้นเช่นกัน หุ้นเริ่มจะเป็นขาลงเรายังรู้จัก take profit ออกมา แล้วทำไมพอร์ตเราเริ่มลง เรายังนั่งเฉยๆ ดูมันย่อยยับหละครับ ?
หรือถ้าใครจะประยุกต์เอา indicator มาจับกับ equity curve เพื่อบ่งบอกสถานะแล้วกำหนด action plan ก็ทำได้ครับ
โดยปกติผมจะมีการตั้งกฎอยู่ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ว่า ถ้า EC ผมลงไปถึงจุดๆ หนึ่ง ผมจะลดพอร์ต/ ลด heat/ และเพิ่มการถือเงินสดทันทีครับ ก็จะวางไว้หลายๆ ระดับ ยิ่งแย่ ยิ่ง conservative หรือ การใช้ consecutive loss ก็สามารถช่วยได้เหมือนกัน เช่นถ้า consecutive loss เราเกิดมากกว่าค่าเฉลี่ยของระบบที่ควรจะเป็น ก็ลด size เทรด ลดพอร์ตไป
สิ่งสำคัญก็จะเหมือนเดิมครับ ไม่มีใครมานั่งเก็บค่าพวกนี้ให้เรา เราต้องเก็บเองและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม
ข้อควรระวังของการ management ด้วย Performance feedback แบบนี้คือบางทีมันอาจจะเป็นการเข้าไปแทรกแซงระบบที่เราใช้ครับ เช่น พอร์ตเราไม่ดี เราจึงลดพอร์ตทั้งที่ไม่ถึงจุดขายที่วางไว้ กลายเป็นว่าเราดันขายหุ้นที่มี potential ที่จะไปต่อแล้วทำให้ระบบที่วางมามันไม่เป็นไปแบบนั้นครับและผลตอบแทนที่คุยได้อาจจะลดลง สำหรับตัวผมเอง ที่บอกไปขั้นต้นผมสน “เอาตัวรอด” performance อาจจะลดลง แต่ถ้าทำให้พอร์ตผันผวนน้อยลง drawdown คุมง่ายขึ้น ผมยอมหมดครับ
ถ้าเราวางเกมให้เรารอดก่อน เราจะเล่นมันได้เรื่อยๆ จนกว่าเราจะชนะครับ
และนี่คือสามอย่างเบื้องต้นที่ผมใช้เอาตัวรอดในการเล่นหุ้นนะครับ แต่เหนืออื่นใดคุณเอาตัวรอดนั้นไม่พอ เกมป้องกันดี ก็ต้องมีเกมรุกที่ดีเช่นกัน ฉะนั้นการวางแผนและกลยุทธ์การเทรดที่ทำให้คุณสามารถทำเงินได้เรื่อยๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน รวมถึง Mindset และวินัยในการปฎิบัติตามแผนให้ตลอดรอดฝั่งก็สำคัญ คิดแผนมาอย่างดีแต่ถ้าทำตามไม่ได้ก็ชิบหายเหมือนกันนะครับ
กลัวบทความจะยืดยาวเกินไปคิดว่าเอาไว้เท่านี้ก่อนนะครับ อยากให้ทุกคนคิดถึงการเล่นเกมป้องกันให้เยอะๆนะครับ เอารอดก่อนแล้วมาว่ากัน
“The most important rule is to play great defense, not great offense. Don’t focus on making money; focus on protecting what you have.”
– Paul Tudor Jones, Original Market Wizard –
เหนือสิ่งอื่นใด ผมมองว่าช่วงนี้สุขภาพกายและสุขภาพใจน่าจะสำคัญกว่าสุขภาพพอร์ตครับ ดูแลตัวเองกันดีดีและรักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ
Leave a Reply